ก็ไม่เคยคิดนะครับ ว่าชีวิตคนเรามันจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีนเท้าได้ขนาดนี้
ถ้านึกย้อนดูถึงช่วงปีที่แล้ว คงจะพูดได้กลายๆ ว่าเป็นเหมือนจุด peak สูงสุดช่วงหนึ่งของชีวิตที่อะไรหลายๆ อย่างดูจะโป๊ะเช๊ะไปเสียหมด ทั้งหน้าที่การงาน เรื่องส่วนตัวต่างๆ และในช่วงเวลาที่คิดว่าชีวิตต่อไปข้างหน้าจะสดใส บึ้ม ตอนนี้งานการก็มั่วซั่ว เรื่องส่วนตัวก็วุ่นวายไปเสียหมด
ชีวิตนี้ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงมาก็มาก แต่ครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นระลอกที่ทำให้รู้สึกถึงความแตกต่างได้จริงๆ
ผมรู้เลยครับว่า การมีสติที่จะเรียนรู้และยอมรับกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ แบบเพลงของกมลานี่ช่างสำคัญจริงๆ ถึงในครั้งนี้ผมคิดว่าจะทำได้ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็แอบรู้สึกว่า ทำได้ดีกว่าที่รู้สึกว่าจริงๆ แล้วตัวเองจะรับได้ แต่ผมก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่า ในชีวิตนี้จะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกเมื่อไหร่ แต่เราจะปรับตัวกับมันได้มากเพียงใด
ช่วงนี้ผมติดตามดูสี่แผ่นดินที่ช่อง True Asian Series อยู่ จำได้ว่าเคยดูตอนเด็กๆ เพียงแต่ก็ไม่ได้จำเรื่องราวได้มากมาย พอดีช่วงนี้เองมีเวลาค่อนข้างมาก การมีอะไรติดตามดูอยู่เกือบทุกวันก็ดีเหมือนกัน
เรื่องสี่แผ่นดิน เป็นเรื่องราวที่ดำเนินตามรอยชีวิตของแม่พลอย ตั้งแต่เกิดในช่วงรัชสมัยของ ร.6 ไปจนเสียชีวิตในช่วง ร.8 (เป็นเหตุผลที่ทำให้เรื่องนี้ชื่อสี่แผ่นดิน เพราะเป็นเรื่องราวของ 4 รัชกาล) เรื่องราวนี้ จึงสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของคนๆ หนึ่งได้เป็นอย่างดี ทั้งการเปลี่ยนแปลงของชีวิต ที่อยู่อาศัย การงาน คนรัก ผู้คนรอบข้าง สังคม ล้วนแล้วแต่มีเข้ามาและจากไปจากชีวิตของพลอยอยู่ตลอด
หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับคนอย่างพลอย อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองในรัชสมัย ร.7 เพราะในตอนเด็กๆ เองพลอยเป็นคนที่มีพื้นเพทางสังคมอย่างชาววัง มีพ่อเป็นข้าราชการระดับสูง และใช้ชีวิตอยู่เป็นข้าหลวงในวัง มีความผูกพันและนับถือในสถาบันฯ พอต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของพลอยอยู่พอดู ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ว่าใครหน้าไหน ก็คงจะมาห้าม มาแก้ไขให้เป็นดั่งใจไม่ได้
เรื่องนี้ออกจะเตือนใจผมอยู่สักหน่อย ว่าชีวิตตราบที่มันยังมีอยู่ มันก็ยังต้องมีเรื่องราวต่างๆ อีกมากมายที่เราคงคาดเดาไม่ถึง การมีสติที่จะเรียนรู้และยอมรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ คงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดจริงๆ
สุดท้ายนี้ก็ขอขอบพระคุณทุกๆ กำลังใจที่ผ่านเข้ามาในช่วงเวลานี้นะครับ ถึงแม้ว่าถ้าให้พูดตามตรงก็คือมันไม่ได้จำเป็นสักเท่าไหร่ เพราะก็ไม่ได้สิ้นหวังขนาดนั้นครับ ถึงจะบ่นจะเปรยอะไรบ้างก็อย่าใส่ใจ เป็นการแสดงออกตามปกติเสียเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถรับความเปลี่ยนแปลงนั้นได้เสมอไป พูดไป ตอนนี้ก็รู้สึกเกรงใจเสียด้วยซ้ำที่เหมือนต้องมีคนมาคอยถามไถ่อะไรตลอดเวลา (ซึ่งถ้าให้พูดตามตรง บางทีก็ไม่ได้อยากจะพูดอยากจะเล่าอะไรมากมาย)
ถึงชีวิตมันจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีน มันก็ไม่ได้หมายความว่าหลังตีนจะต้องทุกข์สักหน่อย
เด๋วก็ต้องมีบทความ จากหลังตีน มาหน้ามือบ้างล่ะเพื่อนเอ๋ย
get well soon