วันนี้เริ่มต้นมาก็ทานอาหารเช้าที่โรงแรม แวะไปยิม (หลังจากที่อัดอั้นมานานเลยต้องรัวๆ) แล้วก็ไป Tate Modern เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยและโมเดิร์น ซึ่งก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่ที่ไปมามักจะเป็นอิงประวัติศาสตร์เป็นหลัก อันนี้เป็นอันแรกที่ใหม่ๆ หน่อย

มีแซลมอนก็ฟินแล้ว
อันนี้ทางเข้า Tate Modern คือไม่แน่ใจว่ามีทางอื่นที่เป็น “ข้างหน้า” จริงๆ กว่านี้มั้ย แต่เหมือนช่วงนี้เค้ากำลังก่อสร้างต่อเติมอยู่ เห็นว่าจะเปิดปีหน้า

พอเข้าไป ก็เป็นตามสไตล์งานศิลปะสมัยใหม่ ที่บางทีก็งงว่ามันสวยมันงามยังไงวะ แต่ศิลปะคือการถ่ายทอดอะไรบางอย่างจากศิลปิน ดังนั้นบางทีมันอาจจะไม่ได้ต้องสวยงาม หรืออาจจะสมเหตุสมผลแค่กับตัวศิลปินเองก็ได้ เอาว่าก็ถ่ายรูปบางอันที่เตะตาเตะใจจริงๆ มาเล่าให้ฟังแล้วกัน

อันนี้ตัวงานเป็นศิลปินที่ทำชุดประหลาดๆ ให้คนใส่ แต่อันนี้ไม่ได้ประทับใจงานอะไรนะ แต่ประทับใจที่วิดีโอที่เปิดอยู่ คือมันเป็นวิดีโอค่อนข้างเก่า มันเลยเป็น 4:3 แล้วประทับใจที่เค้าอุตสาห์หาจอ LCD 4:3 มาได้อีก แทนที่จะใช้วิธีมีขอบดำหรือซูมไปเลย ก็เนี้ยบดี
อันนี้ มีแต่อะไรแดงๆ แบบนี้แหละ มีอยู่ 5 ชิ้นมั้งรอบห้อง ของศิลปินคนเดียวกัน ไม่เข้าใจว่าจะสื่ออะไรเหมือนกัน อ่านคำอธิบายแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แต่คนอยู่เยอะมากห้องนี้ สงสัยเพราะมีเก้าอี้
อันนี้เป็นนิทรรศการเสียเงิน เลยไม่ได้เข้าไป (งก)
อันนี้ชื่อผลงานว่า “Lines in Space” ศิลปินเค้าบอกว่าทำไมเส้นต้องถูกจำกัดอยู่แค่ในระนาบ 2 มิติ นางเลยทำขึ้นมาเป็นสามมิติแบบนี้ เป็นด้ายกับลวด เส้นโค้งๆ จากลวดนั่นตั้งใจเพื่อสื่อถึงอิสระที่เส้นมันได้รับจากการออกมาสู่โลกสามมิติ
อันนี้เป็นหมวกจากแก้วหรือพลาสติกจำไม่ได้ แต่ทางฝั่งคนใส่จะมีพิมพ์นูนๆ เป็นคำว่า “odio” แปลว่าเกลียดในภาษาอิตาลี เวลาใครใส่ก็จะทำให้มีรอยเป็นคำนี้บนหัว แล้วสุดอีกทางจะมีหมุดแหลมๆ ชี้ออกมาเป็นคำว่า “odio” เช่นเดียวกัน เปรียบเสมือนว่า นอกจากความเกลียดชังจะประทับอยู่ในหัวของคนที่รู้สึกเกลียดแล้ว มันก็จะออกมาทิ่มแทงคนอื่นๆ ให้เจ็บปวดด้วยเช่นเดียวกัน
อันนี้เป็นแค่กระจกบานเดียวเลย ศิลปินบอกว่า งานศิลปะ (กระจก) ชิ้นนี้จะคอยเก็บเรื่องราวจากโลกรอบๆ ตัวมัน และเปลี่ยนแปลงตัวมันตามโลกรอบๆ เมื่อเรามายืนส่องกระจก เราก็จะพบว่าตัวเราเองกลายเป็นงานศิลปะ เมื่อคนอื่นเดินผ่านมาเห็นเราในกระจก เราก็จะเปลี่ยนสภาพจากผู้ชมกลายเป็นงานศิลปะให้คนอื่นมาชม
อันนี้ไม่มีเหี้ยไรเลย คือคำอธิบายก็ไม่มีอะไร แค่ว่ามันมินิมัลสุดๆ จนบางทีก็ไม่แน่ใจว่า ถ้าตูทำอะไรง่ายๆ แบบนี้บ้าง จะสามารถเอางานมาเข้าพิพิธภัณฑ์แบบนี้ได้มั่งมั้ยนะ
ถ้าเมื่อกี้ยังมินิมัลไม่พอ อันนี้มินิสุดๆ
อันนี้เป็นทีวี แล้วก็มีขดลวดไฟฟ้าทำให้เกิดสนามแม่เหล็ก เนื่องจากเป็นจอ CRT ก็จะทำให้ภาพที่เห็นบิดเบี้ยวไปมา ต้องการจะสื่อถึงการบิดเบี้ยวของสื่อ
อันนี้ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ดูเจ๋งดีเลยถ่ายมา คือมันมีสองจอ จอทางซ้ายคือภาพที่ถ่ายไข่ใบนั้นมาจริงๆ ส่วนจอทางด้านขวาคือไข่เอามาใส่ในจอที่ทำให้เหมือนภาพทางด้านซ้าย

หลังจากที่ซึมซับศิลปะจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ออกมาข้างนอกเพื่อเดินเล่นและแว้บไปดู Globe Theatre อันนี้ก็มาเจอสะพาน Millenium Bridge เป็นสะพานคนเดินข้ามแม่น้ำ Thames

สะพาน Millenium Bridge

หลังจากนั้นก็รีบกลับมาทีโรงแรมให้ทันบ่ายสามโมงครึ่งเพื่อ…

ฮอร์โมนส์ต่างแดน (ต้องรีบดูสด เพราะดูย้อนหลังผ่าน Line TV นอกประเทศไม่ได้)

เสร็จแล้วก็ไปว่ายน้ำเล่นกับเพื่อน WALL-E แล้วก็เป็นอันสิ้นสุดวัน

เล่นวิ่งไล่จับกับมันสนุกมาก แถมต้องคอยหลบสายมันเนี่ยแหละ

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s