ปีนี้ได้มีโอกาสทำตัวเป็นมนุษย์เงินเดือนบ้าง โดยการออกเดินทางไปแย่งกันกินแย่งกันเที่ยวกับผู้ร่วมชะตากรรมในช่วงสงกรานต์ โดยในคราวนี้ที่บ้านตัดสินใจจะจัดทริปไปที่ Fujikawaguchiko (ทะเลสาปตรงฟูจิ) ซึ่งในวันแรกของการหยุดยาววันที่ 13 เมษายนนี้ หลักๆ ก็คือการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปหาพี่สาวที่โตเกียว

เริ่มต้นจากการแตกขี้ตาตื่นขึ้นมาตอนตีสี่ครึ่ง และออกจากบ้านราวๆ ตีห้าเศษ แม้ว่าเที่ยวบินจะออกเดินทางเก้าโมงกว่าๆ แต่ก็เพราะว่าไม่แน่ใจว่าวันนี้สภาพการเดินทางจะเป็นอย่างไร เลยคิดว่าเผื่อเวลากันไว้ก่อนดีกว่า

เริ่มต้นโดยออกจากบ้านเรียก Uber SUV มารับคน 4 ชีวิตพร้อมกระเป๋ามากมายไปสนามบิน เสียเงินรวม 1,000 บาท (ไม่ต้องจ่ายค่าทางด่วนรอบนอกช่วงสงกรานต์) ถึงสนามบินประมาณ 05:45 ก็แยกกันไปดูที่เคาน์เตอร์เช็คอินของแต่ละคน โดยผมเองเดินทางด้วย Japan Airlines (JL) เพราะเก็บไมล์กับ Oneworld ในขณะที่สมาชิกที่เหลืออีกสามคนเดินทางด้วย ANA (NH) เพราะเก็บไมล์ Royal Orchid Plus

พอเดินไปถึงก็พบว่าคิวเช็คอินช่อง Economy Class ยาวมากๆ ซึ่งก็เข้าใจได้สำหรับเที่ยวบินไปญี่ปุ่นเช้าวันที่ 13 เมษายน แต่ก็ใช้ความอีไล้พลัง Oneworld Sapphire เข้าคิวเช็คอินที่ช่อง Business Class เสร็จออกมาในเวลาไม่ถึง 5 นาที เดินกลับมาที่เคาน์เตอร์ NH แล้วถึงพบว่าทั้งสามคนตั้งคิวแห้งรอเคาน์เตอร์เปิดเวลา 7:00

คิวที่เคาน์เตอร์เช็คอิน JL ยาวมาก นี่คือที่เห็นมียาวต่อไปทางด้านซ้ายอีกพอสมควร

เนื่องจากสถานการณ์เป็นแบบนี้ เลยตัดสินใจว่าจะขอแยกออกมาก่อนเลย เพราะวันนี้มีเป้าหมาย 2 อย่างที่สนามบิน อย่างแรกคือจะลองไป Miracle First Lounge (Concourse D) ที่เพิ่งได้คูปองมาฟรีแลกกับการต้องถ่ายรูปเขียนรีวิวส่งเว็บ Loungebuddy กับไป Sakura Lounge ของ JL ที่เพิ่งทำใหม่

Miracle First Lounge (Concourse D)

ความตื่นเต้นคือ เพิ่งรู้ว่ามีเลานจ์อยู่ตรงนี้! และเป็นเลานจ์ที่ใช้ Priority Pass ได้ด้วย หลังจากที่ปกติเห็นคนทั่วไปจะหลั่งไหลไปที่ตรง Louis’ Tavern ที่คนเยอะมาก แต่กลายเป็นว่าตรงนี้แทบจะไม่มีคนเลยสักนิดเดียว

เลานจ์แบ่งออกเป็นสองฝั่ง เป็นฝั่ง First Class กับฝั่ง Business Class แต่จากที่ส่องดูผ่านๆ จากด้านนอกไม่เห็นว่ามีความแตกต่างในเรื่องของอาหารหรือบริการแต่อย่างใด จะมีแค่ว่าพื้นที่ของฝั่ง Business Class ใหญ่กว่าหน่อย เลยเดาว่าน่าจะเป็นแค่การแยกโซนเพื่อสำหรับลูกค้าสายการบินที่แบ่งตามระดับชั้นตั๋วเฉยๆ มากกว่า ซึ่งก็สมเหตุสมผลเพราะถ้าจ่ายเงินเข้าปกติทั้งสองฝั่งก็เช็คแล้วว่าราคา 1,000 บาทเท่ากัน และใช้ Priority Pass เข้าได้ทั้งสองฝั่งด้วย แต่สำหรับในกรณีนี้จะต้องมาฝั่ง First Class เพราะได้คูปองมาให้ถ่ายรูปฝั่งนี้

พอมาถึงเปิดแอป Loungebuddy ให้กับพนักงาน พนักงานก็พยายามแสกนด้วย iPad ที่เป็นของระบบ และก็ไม่ได้สักที โทรถามคนนั้นคนนี้ เรียกคนมาช่วยดูก็ยังไม่ได้ เราก็เลยชะโงกไปดู iPad เห็นที่แอปมีเขียนตรงมุมขึ้นไว้ว่า “Offline” เหลือบไปดูซ้ายบนก็ไม่เห็นว่ามันต่อ Wi-Fi อะไรอยู่ เลยถือวิสาสะกดเข้า Settings แล้วถึงพบว่า Wi-Fi มันปิดอยู่ ก็กดเปิดให้เค้าแล้วขอให้เค้าลองอีกที ก็เลยได้ สรุปตลกดีที่เราต้องไปเป็น tech support สนับสนุนไอทีให้เค้า

พอเข้ามา โล่งสนิท แทบไม่มีคนอยู่เลย ถ้าเลี้ยวมาทางซ้ายจะเป็นโซนของว่างและเครื่องดื่ม ในขณะที่ทางขวาจะเป็นห้องอาหาร หลังจากที่เดินๆ ดูก็พบว่าอาหารมีแต่อาหารเช้าพื้นๆ อย่างสลัดผัก ไส้กรอก ไข่คน แฮม กับพวกแซนวิช เบเกอร์รี่ทั่วไป เลยตัดสินใจถ่ายรูปให้เสร็จๆ หยิบโค้กมากินหนึ่งกระป๋อง แล้วก็ออกไปเลย

ทางเข้า อยู่หน้าเกท D6
เข้ามาทางซ้าย เป็นโซนเครื่องดื่ม (มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์) กับพวกขนมเล็กๆ น้อยๆ
ทางขวาเป็นห้องอาหาร มีอาหารร้อน แต่ตัวเลือกไม่เยอะ ไม่แน่ใจว่าถ้าไม่ใช่มื้อเช้ามีอะไรมากกว่านี้มั้ย

Sakura Lounge (JL)

เลานจ์ของ Japan Airlines เพิ่งรีโนเวตใหม่ บอกตามตรงว่าก็ไม่รู้ว่ามันต่างจากเดิมยังไงเพราะไม่เคยเข้ามาตอนก่อนหน้านี้ แต่ถ้าเทียบจากที่เคยเห็นในรูปจะรู้สึกว่าการตกแต่งจะดูสว่างขึ้น มีสีขาวมากขึ้น (ของเก่าเหมือนจะมีสีเบจมากกว่านี้) ส่วนตัวเลือกอาหารดูเป็นชิ้นเป็นอันกว่าเลานจ์ของ Miracle มาก มีพวกขนมปัง มีข้าวปั้น มีข้าวสวยพร้อมพวกผักดองหรือของเล็กของน้อยสไตล์อาหารเช้าญี่ปุ่น มิโซะซุป และที่เป็นเอกลักษณ์ของ JL เลยคือข้าวแกงกะหรี่

ยังดูใหม่วิ้งอยู่ สีโทนขาวเสียมาก
ไลน์อาหาร เป็นอาหารเช้าสไตล์ญี่ปุ่น ข้าว ผักดอง ถั่วต้ม ปลา มิโซะซุป และข้าวแกงกะหรี่
สุดท้ายเลยตัดสินใจฝากท้องกับเลานจ์ JL เนี่ยแหละ ดูได้สารอาหารครบครันกว่า (เบียร์เอามาวางเป็นพร็อพแล้วเอาไปคืน ฮา…)

JL32

  • Boeing 777-200ER (W51 configuration)
  • Tail Number JA709J (12 years)
  • Seat 47H (economy,aisle)

มารอบนี้พลาดมากที่ได้เครื่องเก่าสุดๆ เพราะรูท BKK-HND จะเป็นเครื่อง 772 ต่างกับรูท BKK-NRT ที่จะเป็น 787 ที่ยังไงก็น่าจะใหม่ในระดับหนึ่ง

ทีนี้ประเด็นของ 772 คือมันมีโอกาสที่จะเจอทั้งคอนฟิกแบบเก่า (ที่นั่ง Economy เป็น 3-3-3 ส่วน Business เป็นแบบเปลือกหอย 2-3-2) กับคอนฟิกแบบใหม่ที่ JL ตั้งชื่อว่า JAL Sky Suite (Economy จะเซ็ตแปลกๆ เป็น 3-4-2​ ส่วน Business เป็นแบบนอนราบได้ 1-2-1)

อย่างไรก็ตาม เมื่อนั่งแหมะลงมาก็ต้องตื่นเต้นเมื่อได้พบกับวัตถุโบราณ…

กรี๊ด!!!

เหลืองอ๋อยมาทีเดียวเชียว แต่ก็ไม่เป็นไร คิดๆ เสียว่านั่งๆ ให้เวลามันผ่านไป ง่วงด้วยเรื่องของเรื่องเมื่อคืนนอนน้อย หลังจากที่ทุกคนขึ้นเครื่องเสร็จ เครื่องก็ออกจากเกทเวลา 09:45 ตามเวลาเป๊ะจนน่ากลัว และเรื่องราวก็ดำเนินมาอย่างที่ควรจะเป็น เครื่องเงียบตามสไตล์ JL แม้ว่าจะมีคนไทยอยู่เยอะ มีขนมน้ำดื่มเสิร์ฟก่อน ตามด้วยอาหาร ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์

แถวที่เสิร์ฟอาหารมีแอร์ฯ เป็นคนไทยพอดี ชื่อปิงปอง พอมาถึงแถวเรา เค้าก็ถามว่าจะเอาอะไรแล้วก็เสิร์ฟตามปกติ พอเค้าถามว่าจะเอาเครื่องดื่มอะไร ก็บอกเค้าว่าขอโค้กซีโร่ เค้าก็ตอบกลับมาว่าเดี๋ยวสักครู่นะคะ เราก็เหลือบไปดูที่คาร์ทก็เห็นว่าไม่มี เดี๋ยวคงต้องรอเค้าไปเอาที่ครัว ก็ไม่ว่าอะไร จนเค้าเลยไปสักแถวสองแถว ก็เพิ่งนึกได้ว่าเอ๊ะของเราไม่มีมิโซะซุป ก็เลยหันกลับไปเตรียมรอจังหวะจะขอมิโซะซุป พอเค้าเหลือบมาเห็นเรากำลังตั้งท่าจะพูด นางก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดุดันว่า

“โค้กซีโร่รอก่อนนะคะตรงนี้ยังไม่มีค่ะ!”

ไอ้เราก็ตกใจ เชี่ย! เมนส์มาหรืออะไร ทำไมถึงคิดว่าเราจะไม่เข้าใจว่าต้องรอฟะ พร้อมกับตอบไปอย่างเนิบๆ ว่า “เปล่าครับ ผมจะขอมิโซะซุป”

นางไม่ตอบอะไร รินมิโซะซุปแล้วยื่นมาให้ เราก็รับ พลางคิดในใจ อะไรวะเนี่ย

เลยได้ฤกษ์ถอดหน้ากากเป็นผู้โดยฯ คอมเพลนใน JL เป็นครั้งแรกจ้า คือจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แต่น้อยใจ คือปกติคิดว่าพยายามทำตัวเป็นผู้โดยสารที่แสนดีเสมอแล้วนะ มีคนรอบตัวทำงานตรงนี้อยู่เยอะก็เข้าใจ ส่วนตัวก็ทำงานสายบริการเองด้วย ทุกวันนี้ก็ไม่เคยจะไปเร่งเร้าให้ลูกเรือทำอะไรให้ กระป๋งกระเป๋ายกเองตลอด มีขยะก็เดินไปให้ที่ครัว อยากกินอะไรก็เดินไปขอเองที่ครัว คอลเบลล์ไม่เคยกด จะฉี่จะขี้เสร็จก็เช็ดห้องน้ำเรียบร้อยทุกครั้ง เดินกลับมาติดคาร์ทก็ยืนรอไกลๆ รอคาร์ทเลื่อนพ้นไปเอง แต่พอมาโดนลูกเรืออนุมานว่าเราจะเป็นผู้โดยฯ เรื่องมากแบบไทยๆ ก็น้อยใจ เสียความรู้สึกหมด ชิส์ อีปิงปอง มึง!

จบ หลังจากนั้นเรื่องราวก็ผ่านไปเรียบๆ ไม่มีอะไรเพิ่มเติม จนถึง HND ก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง รับประเป๋า เจอกับสมาชิกครอบครัวที่เหลือที่มากับ NH848 แล้วก็นั่ง Uber มาอพาร์ทเมนต์พี่สาว 7,300 เยน ออกมาทานข้าวเย็น เดินผ่านถนนแถวหน้าบ้านที่มีชื่อว่า Sakura-zaka ซึ่งก่อนหน้านี้พี่สาวเคยโฆษณาไว้ว่า ถ้ามาช่วงซากุระบานมันจะสะพรั่งไปทั้งถนน เค้าถึงตั้งชื่อแบบนี้ และหลังจากที่มาหลายรอบ ครั้งนี้เพิ่งได้มาช่วงซากุระพอดี เลยได้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึก

Sakura-zaka (桜坂) ถ้าใครอยากมาดูก็แว้บมา อยู่ใกล้ๆ Roppongi

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s