เนื่องจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมามีโปรแกรมไปวิ่ง (ฮาล์ฟ) มาราธอนที่เชียงราย ซึ่งสมัครไว้ตั้งแต่ตอนต้นปี และไหวตัวทันจองโรงแรม Le Méridien ที่เชียงรายไว้โดยใช้แต้ม Starpoints แลกตั้งแต่เรทมันเป็น 3,000 Starpoints ต่อคืนช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนที่ตอนเดือนมีนาคมที่ผ่านมามันจะเปลี่ยนเป็น 7,000 Starpoints ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างคุ้มเพราะถือว่าได้เรทมากกว่า 1 บาทต่อ 1 Starpoint เสียอีก (ปกติจะตีมูลค่าที่ประมาณ 0.50 บาท)
ว่าแล้วก็มาดูกันเลยว่าเป็นยังไงบ้าง
Pre-arrival
รอบนี้จะขอเพิ่มเรื่องนี้หน่อย เพราะเป็นประเด็นเล็กๆ ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเช็คอิน คือตั้งแต่ก่อนเช็คอันประมาณสัปดาห์กว่าๆ ทางโรงแรมก็ส่งอีเมลมาสอบถามข้อมูลว่าเราจะเช็คอินกี่โมง มาทำอะไร มีอะไรอยากให้ช่วยไหม บลาๆ ตามปกติ โดยเว้นไปสักสัปดาห์นึงเราก็ตอบกลับไปโดยให้ข้อมูลเที่ยวบินทุกอย่าง คอนเฟิร์มเวลาเช็คอิน (ซึ่งจริงๆ เป็นเวลาเดียวกับที่เราใส่ตั้งแต่ตอนจอง) แล้วก็บอกเรียบร้อยว่าจะไปวิ่งมาราธอนวันอาทิตย์
วันรุ่งขึ้นตอนเย็นๆ อยู่ดีๆ ก็มีโทรศัพท์เข้ามา แล้วก็เริ่มถามเรื่องเดียวกับในอีเมลเป๊ะๆ ตามที่เราตอบไปแล้ว เลยต้องไล่ตอบใหม่อีกรอบ ตอนจบก็เลยต่อว่าไปชุดใหญ่ว่าจะทำให้มันซ้ำซ้อนกันทำไม บลาๆ เสียเวลามาก
หลังจากนั้นเราก็ส่งอีเมลแจ้งข้อมูลทั้งหมดไปอีกรอบ พร้อมทั้งเขียนติชมไปยาวๆ ปรากฎว่าไม่ตอบ คุณพระ! พอมีเรื่องนี้มาก็หงุดหงิดตั้งแต่ก่อนจะไปเชียงรายด้วยซ้ำ และก็เลยอคติในใจไปเรียบร้อย (จริงๆ ถ้าตัดเรื่องนี้ออกไปนี่อาจจะได้คะแนนเต็มเลย)
Check-in
จนกระทั่งมาตอนเช็คอิน ก็ไปที่โต๊ะแล้วก็เช็คอินตามปกติ ยื่นบัตรประชาชนไป ก็เหมือนรู้กันอะไรยังไงไม่รู้ อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนนึงเดินมาที่โต๊ะที่เช็คอินอยู่ แล้วก็รีบแนะนำตัวบอกว่าเป็น Manager of Rooms แล้วก็บอกว่าเนี่ยรอคุณณัชอยู่พอดี อยากจะมาขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วันนี้ตอนเช้าได้บรีฟเรื่องนี้กับทีมงานทุกคนแล้ว และ GM ก็ทราบเรื่องแล้วต้องขออภัยคุณณัชด้วย บลาๆ ดูใหญ่โตมาก เราก็ครับๆ ไปตามปกติ และจริงๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมากเพราะตอนแรกก็คิดอยู่ว่าถ้าตอนเช็คอินยังไม่มีการตอบรับเรื่องที่เราส่งอีเมลไป จะขอคุยกับ GM เลย แต่พอทางนั้นเป็นฝ่าย proactively กระตือรือร้นที่จะเข้าหาเราก่อนก็รู้สึกว่าโอเคมาก จบไป
ซึ่งจริงๆ กรณีนี้ถือว่าดีมาก ย้อนไปโพสต์ที่เคยแปะไว้ใน Facebook ตอนมีกรณี TG เท้าเหม็น ถ้าใครไม่เคยอ่าน สรุปความให้ว่าสิ่งที่ควรทำเมื่อเกิดปัญหาในการบริการ และตรงกับสถานการณ์นี้คือ…
2. ต้องมี action คือจะยังไงก็ได้ต้องทำให้ผู้รับบริการรู้ว่าเรา take action แม้ว่ามันจะไม่เกิด result แต่เรามี effort ที่จะแก้ปัญหานะ
…
5. สำคัญมากว่าเราต้องแสดงให้เห็นว่าเราเรียนรู้และจะพัฒนาอย่างไร ให้ผู้รับบริการรู้สึกว่าการสูญเสียของเค้าไม่ได้สูญเปล่านะ อันนี้บางทีเคสเล็กพออาจจะพูดลอยๆ ได้ว่าเราจะปรับปรุง แต่ถ้าเป็นไปได้ควรบอกให้ชัดเจนว่า action เพื่อพัฒนาของเราคืออะไร (เช่น เราจะเพิ่มนี่ๆๆ ในขั้นตอนการทำงาน เราจะกำชับกับนี่ๆๆ ให้ทำแบบนี้ๆๆ)
และสุดตีนขึ้นไปอีกคือหลังจากเช็คอินเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้วไปนั่งกินน้ำกินขนมที่บาร์ อยู่ๆ GM ก็เดินเข้ามาทักเราแล้วก็ขอโทษขอโพยเรื่องนี้อีกรอบหนึ่ง (GM เป็นคนอินเดีย ต้องใช้พลังในการฟังภาษาอังกฤษของพี่แกมาก แต่ก็โอเครู้สึกดี)
ระหว่างพักอยู่ก็คุยๆ กับพนักงานตรงนั้นตรงนี้ไปเรื่อยๆ ก็มาทราบทีหลังว่าเขาบอกว่าที่นี่ไม่ค่อยมีสมาชิก SPG มาพักเยอะขนาดนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นกรุ๊ปทัวร์จะมากันเยอะ เพราะฉะนั้นยิ่งเป็นระดับ SPG Platinum เลยเหมือนว่าจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพราะไม่ได้มีจำนวนเยอะเหมือนพวกโรงแรมเมืองใหญ่ๆ เลยดูแลได้ง่าย เลยพอจะอธิบายปรากฎการณ์ว่าทำไมที่เราบ่นไปกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ขนาดนี้
Exterior
สภาพบรรยากาศภายนอกโรงแรมทั่วไปก็จะเน้นอารมณ์อยู่ในป่าหน่อย มีต้นไม้เยอะมาก ด้านหลังเลยจะเป็นวิวแม่น้ำกก พื้นที่ด้านในถือว่ากว้างมาก อาคารแบ่งเป็น 5 ตึก มีทางเชื่อมกันบางส่วน มีต้นไม้ใหญ่ๆ อยู่สองต้น เคยอ่านผ่านๆ มีเรื่องราวเล่าอะไรสักอย่างว่าเป็นต้นไม้มีวิญญาณผู้ชายผู้หญิงตำนานรักอะไรกันเนี่ยแหละ [citation needed]
Lobby จะอยู่ชั้น 3 ของตึก ต้องขับรถขึ้นมา ในตึกเดียวกันก็จะมีบาร์ Latitude 19 มีฟิตเนส กับมีห้องสมุด และลงมาชั้นล่างสุดมีห้องอาหาร Latest Recipe (เป็นแบรนด์ห้องอาหารหลักของ Le Méridien
ตรงกลางริมน้ำก็จะมีสระว่ายน้ำและบาร์ริมสระน้ำ และข้างๆ สระว่ายน้ำมีสปา กับมีห้องอาหารอีกห้องชื่อ Favola เป็นอาหารอิตาลี
เกร็ดเล็กๆ เลยเพิ่งสังเกตว่า ชื่อบาร์ในเชน Le Méridien จะอิงตามตำแหน่งละติจูดจริงๆ ที่โรงแรมนั้นตั้งอยู่ เพราะเพิ่งนึกได้ว่าตอนไป Le Meridien Saigon บาร์ของมันชื่อ Latitude 10
Guest Room
รอบนี้ได้อัปเกรดเป็นห้อง Grande Deluxe Pool View ซึ่งถ้านับตามราคาเป็นห้องระดับ 3 จาก 5 ซึ่งตอนแรกก็พอทำใจแล้วว่าน่าจะไม่ได้อัปเกรดเป็นห้อง Grande Suite เพราะมันว่างแค่คืนวันศุกร์ แต่ไม่ว่างคืนวันเสาร์ แต่ก็แปลกใจว่าทำไมเขาถึงให้ห้อง Grande Deluxe Pool View ไม่ใช่อีกห้องที่แพงกว่าหน่อยคือ Grande Deluxe Garden Terrace ซึ่งเป็นห้องที่มีทางออกเดินไปสระน้ำได้เลย
ปรากฎ พอเข้าห้องไปจริงๆ ก็ถึงบางอ้อ เพราะเขาเลือกเอาห้อง Pool View ที่อยู่ชั้นบนสุดมาให้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเป็นห้องเพดานสูง น่าจะสูงกว่าสามเมตรอีก คือโปร่งสุดๆ ด้วยความที่เป็นคนชอบห้องเพดานสูงอยู่แล้วเลยถูกใจเป็นพิเศษ
นอกเหนือจากนี้ห้องนี้มีสิทธิ์ในการซักรีดเสื้อผ้าได้ 2 ชิ้นต่อการเข้าพัก
Dining
อย่างแรกที่ต้องพูดถึงอาหารที่นี่คือ… ถูก! ถูกมากถ้าเทียบกับมาตรฐานและคุณภาพที่ได้ คืออย่างปลาแซลมอนย่างชิ้นยักษ์ ทำออกมาในรูปแบบที่สวยงาม ราคา 380 บาทรวมทุกอย่างแล้ว คือไปตามห้างก็อาจจะพอๆ กันเนี่ยแหละ แต่ไม่ได้บรรยากาศดีเท่าที่นี่
สำหรับสมาชิก SPG จะมีส่วนลดค่าอาหารและเครื่องดื่ม ย้ำว่ามีเครื่องดื่มด้วยเพราะปกติตามโรงแรมมักจะไม่ยอมลดเครื่องดื่ม ระดับ Preferred ลด 10%, Gold ลด 15% และ Platinum ลด 20% (แซลมอน 380 บาทที่ว่าก็เลยถูกลงไปอีก)
อาหารมื้อเย็นทั้งสองวันทานที่ร้าน Favola อยู่ริมแม่น้ำ บรรยากาศดีมาก และตามรูปที่ให้ดูด้านบน ชอบที่ครัวมองทะลุเข้าไปได้มาก สวยด้วย
ส่วนอาหารเช้า หลักๆ เขาจะให้ทานเป็นบุฟเฟต์ที่ห้องอาหาร Latest Recipe แต่ก็ถ้าหากเป็น SPG Platinum หรือพักในห้อง Grande Deluxe Wing (ตึก 5) ก็จะสามารถเลือกทานอาหารเช้าที่ Favola เป็นแบบสั่งได้ไม่อั้นแทน อยู่สองวัน ก็เลยตัดสินใจลองสองที่เลย โดยวันแรกทานที่ Latest Recipe ก่อน ก็ไม่ได้รู้สึกหวือหวาอะไร เป็นอาหารบุฟเฟต์ธรรมดา ที่ชอบเป็นพิเศษคือมีไอติมกะทิ กับอาหารเหนืออย่างข้าวซอยไก่
ส่วนวันที่สองก็ไปทานที่ Favola ซึ่งบรรยากาศจะสงบกว่ามาก (ไม่มีคนเลยมากกว่า เป็นส่วนตัวสุดๆ) ส่วนอาหารก็จะมีเมนูให้สั่ง แบบสั่งได้ไม่อั้น ซึ่งก็ถือว่าสะใจดีมาก และคุณภาพประทับใจมากจริงๆ จะมีติงเรื่องนึงก็คือหลายอย่างพยายามบอกเขาแล้วว่าขอแบบน้อยๆ เล็กๆ พอเพราะกลัวทานไม่หมด แต่ก็เหมือนเขาจะเอามาให้แบบเต็มทุกอันเลย สรุปคือเลยทาน Cheese Platter ไม่หมด…
ถ้าอาหารไม่ได้รวมในแพคเกจห้องอยู่แล้ว Latest Recipe จะคิด 450 บาทต่อคน กับ Favola จะคิด 650 บาทต่อคน รวมทุกอย่างแล้ว
Spa
เล็กๆ อีกหน่อย จริงๆ ไม่ค่อยได้เคยใช้บริการสปาที่โรงแรมเลย แต่เนื่องจากมาวิ่ง เลยคิดว่าได้นวดเท้าหลังวิ่งก็น่าจะฟินไม่น้อย บวกกับรู้สึกว่าราคามันน่าโดนมาก เลยใช้บริการไปสักหน่อย
ของที่นี่ถ้าเป็น SPG Platinum จะลด 25% แต่ว่าใครก็ตามถ้าจองล่วงหน้า 2 วันลด 40% ล่วงหน้า 1 วันลด 20% เพราะงั้นพอจองตั้งแต่วันศุกร์สำหรับนวดหลังวิ่งวันอาทิตย์ ก็เลยลดมาเยอะ สุดท้ายนวดเท้า 90 นาทีเหลือแค่ 1,300 กว่าบาท ซึ่งถือว่าโอเคมากสำหรับโรงแรมและบรรยากาศแบบนี้
Services
คือจริงๆ จะบอกว่าบริการเวอร์วังมาก อันนี้เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ถึงขนาดพับผ้าในห้องให้ (ถ้าใครรู้จัก น่าจะรู้ว่าเป็นคนที่สามารถทิ้งเสื้อผ้าไว้ได้ทุกทิศทุกทางอย่างทุเรศมาก วันที่สองออกไปรับ BIB วิ่ง กลับมา เสื้อผ้าทุกอย่างแม้กระทั่งกางเกงในถูกพับอย่างเรียบร้อยวางไว้อย่างสวยงาม คุณพระ!
ส่วนบริการที่อื่นๆ ก็ถือว่าดีหมด จนบางทีรู้สึกว่าเหมือนจะเกร็งๆ กันไปหมดด้วยซ้ำ ลองถามบางคนเขาบอกว่าตามระเบียบถ้าเป็น SPG Platinum เขาจะต้องดูแลเป็นพิเศษเลย ซึ่งอย่างที่ว่าไปเพราะที่นี่ Platinum มาพักน้อย เลยดูเหมือนว่าจะดูแลได้เป็นพิเศษ ส่วนที่เกร็งๆ อย่างชัดเจนมีคนที่ตอนเช็คอินเหมือนจะรู้ว่าเรามีเคส ตอนเย็นเดินแวะไปถามเขาว่าเอ๊ะตกลงห้องที่เราได้อัปเกรดนี่มีซักผ้าได้ 2 ชิ้นใช่ไหม เขาก็ดูทำท่าตกใจมากแล้วก็บอกว่าใช่ครับ ต้องขอโทษด้วยที่ลืมบอก บลาๆ เราก็ เออ…อะไรจะขนาดนั้น
ถ้าให้คะแนนเปรียบเทียบจริงๆ ก็คิดว่าดี แต่ที่หนึ่งก็ยังคงให้ The Westin Singapore อยู่ดี แต่อันนี้น่าจะดีกว่า Sheraton Hanoi แอบคิดว่า จริงๆ เราก็บอกไปแล้วว่ามาวิ่งมาราธอน ถ้ามีกิมมิกเล็กๆ อย่างที่ The Westin Singapore ที่เตรียมน้ำเกลือแร่มาวางไว้ให้ในห้องก็จะได้ใจไปอีกหน่อย
แถมให้อีกนิด ถึงจะไม่ได้ใช้บริการเลยรอบนี้ แต่ว่าโรงแรมมีรถรับส่งไปเซนทรัลเชียงราย กับไนท์บาซาร์ฟรี ค่อนข้างถี่ด้วย
สรุป
ถ้าไม่ติดเรื่องจุกจิกตอนแรกจะบอกเลยว่าสมบูรณ์แบบมาก ทุกอย่าง บรรยากาศ ราคา ทุกอย่างโดนใจไปหมด บวกกับว่าเชียงรายเองก็ดูเป็นอีกที่ที่บรรยากาศสโลว์ไลฟ์หน่อยๆ ไม่เหมือนภูเก็ตหรือเชียงใหม่ หรือแม้แต่หัวหิน จะเสียว่ามาบ่อยๆ ง่ายๆ ไม่ได้เหมือนขับรถไปหัวหินก็เท่านั้น
แต่เลยรู้สึกว่าคิดถูกจริงๆ ที่จะพาที่บ้านไปอีกทีตอนเดือนพฤษจิกายน เอาว่าถ้าใครมีโอกาสแนะนำให้ลองไปดู
เขียนได้ดี อ่านละนอยากจะไปสมัคร SPG ตามซะเดี๋ยวนี้เลยพ่อคุณเอ๊ย