เมื่อไม่นานมานี้มีโอกาสได้ไปพัก Le Méridien Chiang Mai สองครั้งติดๆ ครั้งแรกเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาไปทำงาน 3 คืน กับเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาไปวิ่งคืนเดียว ทั้งสองครั้งโชคดีมากที่ได้อัปเกรด โดยครั้งแรกได้อัปเกรดเป็น Executive Suite (นับเป็นห้องสวีทขั้นพื้นฐานของที่นี่) ส่วนครั้งที่สองได้เด้งขึ้นไปถึง Diplomatic Suite (ขึ้นไปอีกระดับ เป็นอันดับสอง อันดับสูงสุดคือ Presidential Suite)
เนื่องจากทั้งสองครั้งเป็นการพักแบบรีบๆ ไม่ได้ตั้งใจเก็บรายละเอียดอะไรมาก จึงขอเอารูปมาแปะๆ ไม่ใช่การรีวิวแต่อย่างใด
Executive Suite
รอบแรกได้เป็นห้อง Executive Suite ซึ่งถ้าดูจากผังห้อง ก็คือมันจะเป็นห้องมุมที่กินพื้นที่ไปเท่ากับประมาณเกือบ 3 ห้อง
ห้องที่ได้คือห้อง 1634 ซึ่งสังเกตได้ว่ามีห้องแบบนี้อยู่ 4 มุมของตึก โดยถ้าเป็นห้องด้านบนในผัง (1604 หรือ 1634 จะเป็นฝั่งเห็นดอยสุเทพ)
สภาพห้องก็แบ่งเป็นห้องนั่งเล่น กับห้องนอนแยกจากกัน
มาในส่วนของห้องน้ำ จะขนานไปเป็นแนวยาว มีห้องส้วมที่เดินเข้ามาได้จากฝั่งห้องนั่งเล่น มีห้องแต่งตัวเล็กๆ มาอ่างล้างหน้า ห้องอาบน้ำ และอ่างยักษ์ที่ชมวิวได้ มีม่านปิด
Diplomatic Suite
มาถึงรอบสองที่ได้ห้อง Diplomatic Suite ตอนเช็คอินที่เลานจ์ เจ้าหน้าที่ก็เดินมาบอกว่า “คุณณัชครับ ปกติเราจะอัปเกรดคุณณัชไปห้อง Executive Suite แต่พอดีว่าวันนี้มีแขกเข้าพักโรงแรมเราเต็มหมดทุกห้องเลย เราเลยให้คุณณัชพักที่ห้อง Diplomatic Suite แทนนะครับ” ในใจก็แบบ ต้องอะไรขนาดนี้ ให้มาเลยก็ได้ใครๆ ก็คงอยากได้
พอเข้าไปก็ตกใจมากว่า มันใหญ่มากจริงๆ (ในผังด้านล่างคือห้อง 2130) ตามหน้าเว็บเขียนไว้ว่าห้องนี้ขนาด 144 ตารางเมตร ซึ่งก็น่าจะถึงแหละ ดูจากผังห้อง ถ้าเทียบกับห้อง Executive Suite คือเหมือนเพิ่มห้องธรรมดาเข้าไปอีกประมาณ 2 ห้อง แล้วถ้าดูจากผังก็คืออยู่ชั้นเดียวกับเลานจ์เลย เดินไปได้ทันทีสะดวก แต่ตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงจากเลานจ์บ้าง
ประตูด้านหน้าจะเป็นประตูแบบสองบาน เปิดเข้าไปก็เจอกับห้องรับแขกที่ใหญ่มาก มีชุดโซฟาใหญ่โต ทีวี โต๊ะทำงาน แล้วก็มีโต๊ะทานข้าวแบบ 6 ที่นั่ง แถมมีแชนเดอเลียร์อีกต่างหาก
พอเดินเข้ามาสุดทางโต๊ะทานอาหาร จะมีซอกเข้าไปเป็นครัวแพนทรี่เล็กๆ มีอ่างน้ำ มีเครื่องทำกาแฟ
ข้างประตูทางเข้าห้องจะเป็นห้องส้วม
ส่วนห้องนอนก็มีที่นอนปกติพร้อมกับทีวี อันนี้คล้ายๆ กับ Executive Suite
มาถึงห้องน้ำ จะคล้ายๆ กับ Executive Suite สิ่งที่ต่างไปคือ อ่างเป็นจากุชชี่แบบมีปั๊มน้ำด้วย แล้วก็จะเพิ่มห้องส้วมมา (กลายเป็นมีส้วม 2 ที่ทั้งห้อง) แล้วก็ห้องแต่งตัวที่จริงจังมาก
ความพิเศษอีกอย่างของ Diplomatic Suite คือสวิทช์ไฟเป็นแบบมีจอ มีข้อมูล แล้วก็ตั้งตามเซ็ตที่จัดไว้ได้ด้วย
สรุปคือ รู้สึกสเปเชียลมากที่ได้พักห้องนี้ เมื่อก่อนเคยแอบรู้สึกกังขากับ Le Méridien Chiang Mai ไว้หน่อยๆ แต่พอได้มาพักจริงๆ สองรอบแล้ว ถือว่าได้ไปอยู่อันดับต้นๆ ในใจเลย (โดยส่วนตัวรู้สึกว่าน่าจะยังตามแค่ W Hong Kong, The Westin Singapore กับ Le Méridien Chiang Rai)
ปล. เพิ่งรู้ว่า Le Méridien Chiang Mai นี่เจ้าเดียวกับ The Athenee Hotel