จริงๆ รู้มานานแล้วว่า W Bangkok สามารถนำสัตว์เลี้ยงไปได้ ก็คอยหาจังหวะจะลองพาไปอยู่เรื่อยๆ และจริงๆ ตอนแรกก็แพลนว่าจะพาไปตั้งแต่ช่วงต้นมิถุนายนแล้วแต่พอดีโรงแรมปิดไปก่อน พอโรงแรมเปิดมาใหม่คราวนี้มีแพคเกจ Furry Exclusive ที่เวฟค่าธรรมเนียมไป ก็เลยได้โอกาสไปประเดิมซะหน่อย
ตัวแพคเกจ Furry Exclusive ของ W Bangkok มีราคา 4,299 บาทสุทธิ สิ่งที่ได้คือ
- รวมอาหารเช้า 2 คน
- เช็คอินได้ 7 โมงเช้า, เช็คเอาท์ได้ 1 ทุ่ม
- เวฟค่าธรรมเนียมสัตว์เลี้ยง 3,531 บาทต่อการเข้าพักและ 824 บาทต่อคืน
เดิมที่แพลนไว้ว่าน่าจะจ่ายเฉพาะค่าห้องรวมๆ 9 พันกว่าบาท นี่ก็ลดลงไปครึ่งนึงเลย
ตอนจองก็วุ่นวายเล็กน้อยเพราะโรงแรมเลื่อนการเปิดมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายมาได้วันที่ 8 สิงหาคม หลังจากเปิดไม่กี่วัน โดยรอบนี้ได้อัปเกรดเป็น Marvelous Suite
นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้พักห้องประเภทนี้ ซึ่งจริงๆ ก็สูงสุดแล้วในบรรดาห้องปกติ ห้องแบ่งเป็นส่วนห้องรับแขก ห้องนอน และห้องน้ำ ในห้องจริงๆ ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่เนื่องจากว่าคราวนี้มีสัตว์เลี้ยงมาด้วย เค้าก็จะเตรียมที่นอน จานข้าว จานน้ำ และของเล่นไว้ให้ นอกจากนี้ยังมีการพิมพ์การ์ดรูปเอาไว้ให้ด้วย


จริงๆ จากของที่เอามาให้ทั้งหมดก็ยังไม่แน่ใจว่าอะไรเอากลับมาด้วยได้หรือเปล่า หรืออะไรต้องทิ้งไว้ รู้สึกงงๆ เพราะบางอย่างอย่างของเล่นก็ดูไม่น่าใช้ซ้ำ ถาดนี่ไม่แน่ใจ ส่วนเบาะน่าจะใช้ซ้ำได้ แต่สุดท้ายก็เลยทิ้งไว้หมดไม่ได้เอาอะไรมาด้วย
เนื่องจากได้ห้องกว้าง ข้อดีคือมีที่ให้วิ่งเล่นได้ แต่ข้อเสียกลายเป็นว่าจะต้องคอยไม่ให้คลาดสายตาเพราะกลัวจะไปขับถ่ายลงบนพรม ซึ่งจริงๆ เค้าก็จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดให้อยู่แล้ว แต่เราก็เกรงใจไม่อยากให้มันไปทำเลอะเทอะอยู่ดี
นอกจากนี้เค้าก็ไม่ได้มีกฎอะไรเกี่ยวกับว่าห้ามไม่ให้สัตว์เลี้ยงขึ้นเตียงหรืออะไร นี่ก็กระโดดขึ้นกระโดดลงเป็นว่าเล่น และสุดท้ายก็ไปก่อเรื่องบนเตียงโดยการไปฉี่รดบนผ้านวม ซึ่งไม่ได้ตั้งใจฉี่ด้วย แต่ฉี่ราดเพราะโดนแกล้งเอาถุงพลาสติกวิ่งไล่ เลยต้องลำบากขอให้แม่บ้านมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอน
ซึ่งมันก็เหมือนจะคิดไปเองเรียบร้อยแล้วว่าห้องนี้เป็นพื้นที่ของมัน มีการเห่าการขู่แม่บ้าน ระหว่างทำเลยต้องย้ายไปอยู่ในคอก (เอาคอกมาเอง)
บริการที่เค้าจะมีเพิ่มให้พิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยงคือเราสามารถขอให้เค้ามาช่วยเฝ้าสัตว์เลี้ยงที่ห้องได้ หรือให้พาออกไปเดินข้างนอกก็ได้ (สูงสุด 2 ครั้ง)
ซึ่งตอนมื้อกลางวันยังเกรงใจเขาอยู่เลยตัดสินใจผลัดกันลงไปทาน แต่พอมื้อเย็นคิดว่าจะเริ่มลำบากไปเลยขอให้ทางโรงแรมมาช่วยเฝ้าที่ห้อง ปรากฎว่าเขาส่งคนมาตั้ง 2 คน เดาว่าคนนึงเป็น Duty Manager ส่วนอีกคนดูจากชุดน่าจะมาจาก Security
ปรากฎว่าตามคาด นี่หวงห้องมากเข้ามาถึงก็โดนขู่โดนเห่าใส่ ก็ค่อนข้างเป็นห่วงเล็กน้อยแต่ก็เลยให้ขนมเขาไว้เผื่อเอาให้ แล้วก็รีบลงไปทานข้าวเพื่อที่จะได้รีบกลับขึ้นมา
เข้าใจว่าใช้เวลาสักประมาณ 45 นาที พอขึ้นมาก็พบว่าทั้งสองคนโดนไล่ออกมานอกห้องเรียบร้อย (โดยแง้มประตูไว้) โดยเขาเล่าว่าโดนมันค่อยๆ ขู่ค่อยๆ ไล่ออกมาเรื่อยๆ จนต้องออกมาอยู่นอกห้อง นี่เลยต้องขอโทษขอโพยสองคนนั้นเป็นการใหญ่ และขอบคุณอย่างยิ่งยวด
มาถึงตอนนอน ทีแรกก็กลัวว่าจะมากัดมาแทะเฟอร์นิเจอร์ตอนกลางคืน หรือกลัวจะถ่ายไม่เป็นที่เป็นทาง เลยกะจะให้อยู่ในคอก แล้วก็ปิดไฟนอน ปรากฎร้องโวยวายตลอดเวลาและพยายามจะพังคอกออกมา สุดท้ายเลยต้องยอมให้มานอนบนเตียง แล้วก็เอาผ้าเช็ดตัวมาปูๆ เต็มพื้น ภาวนาว่ามันจะถ่ายบนผ้า และไม่แทะเฟอร์นิเจอร์ตอนตื่นมา

สุดท้ายตอนเช้าตื่นมา จำได้ว่าพอรู้สึกตัวปุ๊ปก็รีบสะดุ้งตัวเด้งขึ้นมาเดินดูรอบห้อง และพบว่าสุดท้ายทุกอย่างอยู่บนผ้า (ถ่ายรูปมาด้วยแต่ไม่ต้องเอามาลงละกันเนอะรูปอึหมาเนี่ย)
ขอปิดช่วงสุดท้ายด้วยเรื่องของกิน ทานอาหารแทบทุกมื้อที่ The Kitchen Table ชั้น 2 เพราะต้องรีบกินถ้าผลัดกันทาน หรือถ้าให้พนักงานมาเฝ้าก็เกรงใจเขา ไม่แม้แต่จะลงไปร้าน Paii ข้างล่าง
แต่โดยรวมโอเคเลย ที่ชอบ The Kitchen Table มากๆ คืออาหารดี มีส่วนลดแล้วไม่แพง แถมมีขนมปังฟรีและไม่ยัดเยียดน้ำขวดเลย มีน้ำเปล่าฟรีทุกมื้อ ทานแล้วก็จะตกคนละ 200 – 500 บาท ซึ่งเอาเข้าจริงๆ กินอาหารห้างก็ราคาแบบนี้แต่ไม่ดีเท่านี้
แนะนำทริกคือนอกจากใช้ส่วนลด 10%, 20% หรือ 30% ตามระดับ Marriott Bonvoy แล้ว สามารถจอง Eatigo ตั้งแต่ 20:30 จะได้ลด 50%
และช่วงนี้เนื่องจากแขกน้อย อาหารเช้าเลยเป็นแบบสั่งจากเมนูไม่อั้น ซึ่งอาหารทำออกมาดีมาก ชอบเป็นพิเศษคือ smoked salmon ที่ไม่เค็มเกินไป ดูสด
สรุปทริปนี้สิ่งที่รู้สึกคือเหนื่อยกว่าที่คิด เพราะต้องมาคอยพะวงว่ามันจะมาสร้างความเสียหายอะไรหรือเปล่า แม้ว่าจะรู้ว่าบางอย่างเค้าก็คงไม่มาเก็บตังอะไรเราหรอกแต่ก็เกรงใจอยู่ดี แต่ยังไงก็ยังเหลือคูปองที่ซื้อไว้ต้องไปพักอีกคืนนึง คงต้องหาเวลาอีกที