ต่อจากที่ไปพัก The Ritz-Carlton, Koh Samui มาก่อนหน้านี้ ก็ไปพักที่ Six Senses ก่อน (แต่ยังไม่มีอารมณ์จะเขียน) แล้วจึงมาต่อที่ W Koh Samui อีก 2 คืน ซึ่งถ้าให้จัดอันดับจริงๆ คงเลือก W เป็นเบอร์หนึ่งในทริปนี้
Pre-arrival
ถ้าเทียบกับ The Ritz-Carlton ต้องบอกเลยว่าการดูแลช่วงก่อนทริปดีกว่าแบบหน้ามือเป็นหลังเท้า ตั้งแต่ฝ่ายจองที่ตอบสนองดีและเร็วมาก มาจนถึงการสอบถามข้อมูลต่างๆ ก่อนเข้าพัก
มีเหตุการณ์หนึ่งที่โทรถามไปที่เบอร์กลางเพื่อจะถามข้อมูลเกี่ยวกับบุฟเฟ่ต์ แล้วบังเอิญคงไปเจอผู้จัดการฟร้อนท์พอดี (ชื่อตำแหน่งในนั้นคือ Welcome Manager) เขาเลยเหมือนรับดูแลเองแล้วให้เราคุยติดต่อทาง Whatsapp (มี LINE ด้วยแต่เราไม่สะดวกเอง) แล้วหลังจากนั้นจะถามข้อมูล จะจองอะไร เขาก็ช่วยจัดการทุกอย่างให้เราได้หมดและค่อนข้างเร็ว
ที่ประทับใจเป็นพิเศษคือเราถามเขาว่าที่ Sweet Spot (จุดที่ไปหยิบน้ำ/ไอศกรีมทานได้ฟรี) มีเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาลไหม เขาบอกว่าไม่มี แต่ว่าเดี๋ยวเขาเลยจะเอาเป๊ปซี่แม็กซ์ใส่ตู้เย็นเราไว้ให้ และทานได้เลยไม่คิดเงิน

โปรโมชั่นที่ใช้คือโปรเปิดโรงแรมอีกรอบ อัตรา 9,999 บาทสุทธิต่อคืน ใช้เราเที่ยวด้วยกันได้เหลือ 6,999 บาท ได้อาหารเช้า เครดิต 1,000 บาท และเซ็ตขนมน้ำชายามบ่าย ซึ่งถือว่าค่อนข้างโอเค เพราะเอาเข้าจริงๆ สุดท้ายพอตอนกลับเช็คเอาท์จ่ายเงินเพิ่มจริงๆ แค่ประมาณ 2,000 บาท (หักส่วนลดเราเที่ยวด้วยกันอีกวันละ 600 บาทแล้ว)
Villa
ห้องพักที่นี่หลักๆ จะมี 4 ระดับ กับบ้านแบบหลายห้องนอนระดับพิเศษอีก 3 หลัง โดยในรอบนี้ใช้ Suite Night Award ที่มีเพื่ออัปเกรดไปเป็น Ocean View (ระดับที่ 3 จากล่าง) ซึ่งจริงๆ จะใช้ SNA อัปเป็น Ocean Front ก็ได้ (ระดับสูงสุด) แต่แม้ว่าข้อดีของมันคือเดินลงหาดได้เลย แต่ว่ามันจะไม่มีวิวเพราะมันจะมีกำแพงต้นไม้บังๆ ไว้ เพราะงั้นสุดท้ายคิดว่าอยากได้วิวมากกว่าหาดเลยเลือกเป็น Ocean View
ตัวห้องพักทั่วไปทั้ง 4 แบบแปลนในบ้านเห็นทางนั้นบอกว่าจะเหมือนๆ กันหมด (ไม่แน่ใจว่าจริงไหม) แต่ที่จะต่างคือข้างนอกเล็กน้อย แต่หลักๆ ก็จะคล้ายๆ กันหมดคือเป็นแนวยาวแบ่งเป็นบ้านกับสระกันไป
การจัดวางห้องมีความน่าสนใจอย่างหนึ่งตรงที่ทำให้ห้องรับแขกและห้องนอนรวมๆ กันไปจนทำให้มีทีวีแค่เครื่องเดียวพอ นอกนั้นก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกทั่วไปตรงมินิบาร์ ที่พิเศษคือมีตู้แช่ไวน์แยก โดยในวันแรกก็มีขนมเซ็ตไว้ให้นิดหน่อยที่โต๊ะกลาง พร้อมกับ Evian สองขวด โดยเขียนบอกไว้ว่าสำหรับสมาชิก Bonvoy (ไม่แน่ใจว่าระดับไหนถึงจะได้) ส่วนโต๊ะทำงานมีความขัดใจเล็กน้อยว่าเวลาเปิดตู้เสื้อผ้ามันจะมาปิดตรงโต๊ะทำงาน แต่เขาก็คงคิดว่าใครจะมานี่คงไม่ได้มาทำงานเท่าไหร่มั้ง?
กับที่พิเศษอีกนิด เป็นครั้งแรกที่เจอในประเทศไทย คือโทรศัพท์มือถือ โดยเครื่องนี้สามารถโทรหาฝ่ายต่างๆ ในโรงแรมได้หมด สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ สามารถแชร์เน็ตออกมาได้ไม่อั้นด้วย และสามารถโทรได้ทั่วโลกฟรี จริงๆ ก็ถือว่าสะดวกมากถ้าเป็นนักท่องเที่ยวมาอะนะ
ถัดมาห้องน้ำจะอยู่อีกฟากหนึ่งของบ้าน จุดเด่นคืออ่างอาบน้ำขนาดใหญ่มากที่ลงสองคนสบายๆ ห้องอาบน้ำมีสองห้อง แบบข้างในห้องนึง กับแบบกึ่งกลางแจ้งอีกห้องหนึ่ง ส่วนเครื่องอาบน้ำของที่นี่เปลี่ยนเป็นของใหม่แล้วจากเดิมที่ W ใช้ Bliss ของใหม่จะเป็น Davines MOMO กับ Skin Regimen แทน (W ประกาศเริ่มทะยอยเปลี่ยนตั้งแต่มกราคม 2020)
ออกมาด้านนอกจะเป็นระเบียงเล็กๆ ที่มีที่นั่งที่นอนเล่นได้ กับสระน้ำแนวยาว โดยสระน้ำจะลงจากทางระเบียงที่เชื่อมกับห้องนอนก็ได้ หรือจะเดินลงสระโดยตรงจากห้องน้ำเลยก็ได้เช่นกัน อันนี้ชอบถือว่าสะดวกมาก ส่วนวิวห้องที่ได้รู้สึกว่ายังไม่สุด น่าจะมีห้องอื่นที่วิวดีได้มากกว่านี้
ข้อสังเกตอื่นๆ มีดังนี้
- มีโถจุดยากันยุงลาย W แต่ลืมไม่ได้ถ่ายรูปมา แล้วก็มีที่ปล่อยยากันยุงแบบเสียบปลั๊กในบ้านด้วย
- รูเสียบ HDMI ตรงโต๊ะทำงานพัง แต่ไม่ได้โวยวายอะไรขี้เกียจ
- ไวไฟไม่ค่อยทั่วถึง ตรงห้องส้วมใช้ไม่ได้
- สระน้ำค่อนข้างเก่า ปูนเริ่มกร่อนๆ จนหินบาดเท้าหน่อยๆ แล้ว
Facilities
สิ่งที่พูดถึงก่อนเลยคือบรรยากาศโดยรวมของโรงแรมว่าสวย ถ่ายรูปง่ายมาก และอาจจะโชคดีด้วยว่าเวลาที่ไปฟ้าสวยแทบจะตลอดเวลา
เนื่องจากทุกห้องมีสระน้ำในตัวหมดอยู่แล้ว สระกลางเลยไม่ได้ยิ่งใหญ่มากเท่ากับที่ The Ritz-Carlton แต่ว่าก็ยังถือว่าใหญ่ และก็ถ่ายรูปสวยเช่นเดียวกัน และในตึกเดียวกันกับที่มีสระก็มียิมและสปาอยู่ อุปกรณ์ถือว่าครบครันแต่ว่าค่อนข้างเก่าไปนิดนึงตามอายุโรงแรม
ที่นี่จะมีจุดแจกไอศกรีมและน้ำดื่มที่เรียกว่า Sweet Spot กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ แบบอยู่ในระยะเดินได้จากแทบทุกห้อง โดยจะมีไอศกรีมอยู่จำนวนหนึ่ง (มีแม็กนั่ม) และเครื่องดื่มเล็กน้อย
ส่วนชายหาดถือว่าสวยกว่ามากถ้าเทียบกับ The Ritz-Carlton เพราะเป็นหาดกว้างเลย และมีตัว W วางไว้ให้ถ่ายรูปเช่นกัน
Dining
ในช่วงนี้ร้านอาหารหลักของร้านปกติ The Kitchen Table ถูกปิดไป แต่ตรง Woobar เลยจะเสิร์ฟอาหารทั่วไปแทน และนอกจากนั้นก็มีร้านอาหารแถวหาดที่ชื่อ Namu อีกร้านเป็นอาหารเอเชียฟิวชั่น
ในส่วนของอาหารเช้าในเรทที่จองมาจะสามารถเลือกได้ว่าจะไปทานที่ Namu เป็นแบบสั่งจากเมนูไม่อั้น หรือเอามาเสิร์ฟที่ห้องเป็นชุดอาหารลอยน้ำ ก็เลยตัดสินใจทานแบบละวันสลับกันพอดี โดยอาหารเช้าถือว่าจัดได้ดูดีน่ากินทั้งสองแบบ แต่ยังไงก็ต้องบอกว่าอาหารลอยน้ำเป็นสิ่งที่เอามาถ่ายรูปเก๋ๆ ได้แต่ไม่มีความสมเหตุสมผลใดๆ

นอกจากนี้ในช่วงที่ไปมันจะมีมื้อสาย (แปลจากคำว่า brunch แต่จริงๆ มันเริ่มตั้งบ่ายโมง) ทุกวันเสาร์ โดยมีค่าใช้จ่าย 1,200++ บาท แต่ว่าสามารถใช้สิทธิ์ Bonvoy ลดได้ 10% – 30% ตามแต่ระดับ อาหารจะเป็นแบบสั่งมาจานเล็กๆ แบบนี้ และได้คูปองสั่งเครื่องดื่มได้ 3 แก้ว ทานอยู่ริมหาดบรรยากาศชิลๆ แบบนี้
ปิดท้ายด้วยชุดน้ำชายามบ่ายที่มีสองชุดตามจำนวนคืนที่จอง ประกอบด้วยอาหารว่างและเครื่องดื่ม 2 แก้ว โดยรวมค่อนไปทางหวานมาก ทานแล้วเลี่ยนไปนิด สามารถทานได้ 13:00 – 18:00 ทั้งนี้แนะนำว่าถ้าอยากทานในหลุมสีเขียวนี่ควรจองล่วงหน้า และถ้าเป็นตอนบ่ายจะร้อนมาก สัก 16:00 เป็นต้นไปจะเริ่มพอมีร่มเงาค่อยๆ เลื่อนมามากขึ้นจากตึกด้านหลัง
Service & Activities
จุดที่พิเศษคือการบริการที่รู้สึกว่าเทียบๆ ได้กับ The Ritz-Calrton เลย เพียงแต่บรรยากาศจะดูสบายๆ เป็นกันเองกว่าตามแบรนด์ W ซึ่งหลายๆ อย่างมีความยืดหยุ่นค่อนข้างมาก ทั้งเรื่องอาหาร หรือการใช้โปรโมชั่นต่างๆ ก็จะคอยช่วยหยวนๆ ให้แบบไม่ซีเรียสมาก

สรุป
ชอบ W Koh Samui มากแบบชนิดว่าอยากกลับมาอีกให้ได้ แต่ถ้าให้เทียบจริงๆ ว่าอะไรดีกว่าระหว่าง The Ritz-Carlton กับ W นี่ก็ตอบไม่ถูก เพราะรู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างแตกต่างกัน แต่ก็มีเงื่อนไขอีกนิดด้วยว่า The Ritz-Carlton วิวจะดีก็ได้เมื่อได้ Ultimate Pool Villa เท่านั้น ซึ่งแพงโคตรๆ ในขณะที่ W จะไม่มีวิวเทพๆ แบบนั้น แต่บรรยากาศโดยรวมรู้สึกถูกจริตมากกว่า