เช้าวันที่สามเรามีกำหนดการแรกคือจะไปทัวร์ขี่จักรยานกันที่ฝั่งเอเชีย (เผื่อใครยังไม่รู้ อิสตันบูลมีสองฝั่งคือฝั่งยุโรปกับฝั่งเอเชีย ที่พักของเราอยู่ทางฝั่งยุโรป) ซึ่งจากการวางแผนการเดินทางตอนแรกก็วางแผนกันว่าเราจะไปขึ้นเรือข้ามฝั่งที่ท่าเรือใกล้ๆ รอบเวลา 09:45 เพื่อให้ไปถึงอีกฝั่งภายใน 10:15 และเดินไปยังจุดนัดพบภายในเวลา 10:30
แต่ประเด็นก็คือพวกเราไปท่าเรือกันแบบฉิวเฉียด (เพราะจั่นเจาสาย) ไม่ทันคิดถึงเรื่องว่าจะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับระบบการซื้อตั๋วของที่นั่น ทำให้สุดท้ายกว่าจะซื้อตั๋วเสร็จได้ครบทุกคน ประตูก็ปิด เรือก็ออกไปต่อหน้าต่อตา สุดท้ายเลยจำเป็นต้องนั่ง Uber ไปที่นัดหมายแทน
พอไปถึงที่นัดหมาย เราก็ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการทัวร์ขี่จักรยาน ซึ่งโดยรวมบรรยากาศฝั่งเอเชียดีกว่าฝั่งยุโรปมาก ไกด์เล่าให้ฟังว่าส่วนใหญ่ในย่านนี้คนที่มาอยู่จะเป็นคนที่ไม่เคร่งศาสนามาก ผู้หญิงเลยจะย้ายมาอยู่ตรงนี้มากกว่า (ตุรกีเป็นประเทศอิสลาม) และประชากรส่วนใหญ่ก็จะมีการศึกษามากกว่า เพราะงั้นบรรยากาศโดยรวมเลยกลายเป็นว่าอิสตันบูลฝั่งเอเชียมีความเป็นยุโรปมากกว่าอิสตันบูลฝั่งยุโรป ตลกดี






แต่สิ่งหนึ่งที่เอ็นจอยกับการขี่จักรยานที่นี่เป็นพิเศษ คืออากาศมันเย็น ต่อให้แดดแรงยังไงโดยรวมมันก็ยังเย็นและสบายที่จะขี่ แต่ความยากคือภูมิประเทศไม่ได้ราบเหมือนกรุงเทพฯ เพราะงั้นบางช่วงต้องขี่ขึ้นเขาก็หนักอยู่เหมือนกัน
หลังจากขี่จักรยานเสร็จ เราก็แพลนจะไปทานข้าวมื้อกลางวันที่ร้านอาหารที่โฮสต์ขี่จักรยานแนะนำ แต่ระหว่างทางที่เดินมีผ่านเจอร้านคุกกี้กับไอติมมา เลยโดนกันไปอีกคนละนิดละหน่อย กับคุกกี้ 2 TRY กับไอติม 12 TRY ก่อนที่จะไปถึงร้านอาหารที่น่าจะเป็นร้านที่หรูที่สุดเท่าที่เคยทานแล้ว (ดูจากการบริการของพนักงาน) แต่ถึงกระนั้นค่าเสียหายสำหรับ 5 คน (ลืมบอกวันนี้วันอาทิตย์แครอลไปโบสถ์ไม่ได้มาด้วย) ก็อยู่แค่ที่ประมาณพันบาทเท่านั้นเอง






เสร็จจากทานข้าว ก็ไปแวะจุดเซฟ (Apple Store) ใกล้ๆ โดยกอล์ฟกับโอ๊ตพยายามอยากซื้อเคสไอโฟนที่ถูกกว่าไทย (ของที่ไม่ใช่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อยากเคสจะถูกกว่าไทย แต่ตัวเครื่องหรืออุปกรณ์หลายๆ อย่างจะแพงกว่า คนขายบอกว่าตุรกีมีภาษีนำเข้าสูงมาก) แต่สุดท้ายไม่ได้ซื้อเพราะว่าเครื่องรูดบัตรที่ร้านมีปัญหาอะไรสักอย่างนึง
สุดท้ายก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนที่โรงแรม ก่อนที่จะออกมาอีกครั้งช่วงเย็นๆ เพื่อมาเข้าคลาสทำอาหารที่จองไว้ผ่าน Airbnb Experience โดยมีผู้เข้าร่วม 4 คน (ยกเว้นจั่นเจาและแครอล)






สำหรับคลาสนี้มีความน่าประทับใจมาก คือจริงๆ เราได้ทำอาหารเองจริงๆ ไม่เยอะมาก (แต่ปกติคลาสทำอาหารเชิงท่องเที่ยวก็มักเป็นแบบนี้อยู่แล้ว) แต่ที่นี่เป็นครั้งแรกที่สามารถทำให้เป็นความบันเทิงได้เป็นพิเศษจริงๆ ตั้งแต่มีกิจกรรมให้แข่งกันทำอาหารบางอย่าง หรือมีลักษณะที่เป็นกึ่งๆ โชว์แทรกเป็นจังหวะๆ โดยรวมจึงเป็นประสบการณ์คลาสทำอาหารเชิงท่องเที่ยวที่น่าจะดีที่สุดเท่าที่เคยมาทั้งหมดจริงๆ
ซึ่งหมดรายการนี้ก็ปาไปสี่ทุ่มที่นั่น (ตีสองเวลาไทย) ทุกคนเลยหมดสภาพอย่างสมบูรณ์ รู้ตัวอีกทีก็คือกลับถึงโรงแรม น็อคสลบกันหมดไปทันที