หลังจากโพสต์บันทึก Istanbul Trip ครบทุกวันแล้ว ก็ได้เวลาพูดถึงประสบการณ์นั่ง Singapore Airlines เครื่อง A350 ชั้น Business Class เส้นทาง BKK-SIN-IST
จริงๆ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นั่งชั้นธุรกิจของ SQ แต่ว่าเคยนั่งมาก่อนหน้านี้สามสี่ปีก่อนจากการแลกไมล์ Aegean เป็นตั๋ว SIN-BKK-NRT แล้วบิน SQ ในขา SIN-BKK แต่ว่าตอนนั้นไม่ได้เก็บข้อมูลอะไรมากมาย
Booking
ครั้งนี้จองเป็นตั๋วโปรโมชั่นตั้งแต่เมื่อช่วงเดือนมีนาคม โดยเส้นทาง BKK-SIN-IST มีขายไปกลับในราคาประมาณ 15,000 บาทสำหรับชั้นประหยัด และ 54,000 บาทในชั้นธุรกิจ โดยตั๋วโปรโมชั่นจะไม่สามารถพักที่สิงคโปร์ได้เกิน 24 ชั่วโมง เลยวางแผนให้ไปสิงคโปร์ตั้งแต่เที่ยวบินแรกสุดเพื่อให้ใช้เวลาที่สิงคโปร์ได้ก่อนไปอิสตันบูลต่อ
ครั้งนี้เลยตัดสินใจว่าจะเพิ่มเงินเพื่อเอาชั้นธุรกิจไปเลยเพราะว่าตั๋วคลาส D สามารถเอาเข้าไมล์ ROP ของการบินไทยได้ 125% รวมไมล์เป็น 15,652 ไมล์ คิดเป็นประมาณ 3.49 บาทต่อไมล์ ซึ่งถือว่าเป็นเรทที่ไม่แย่กับการวางแผนเก็บ 50,000 ไมล์ในปีนี้เพื่อเอา Gold Upgrade อีกอัน และน่าจะดีกว่าบินในชั้นประหยัดที่ 15,000 แต่ไม่ได้ไมล์ ROP เลย (แต่ยังสามารถเอาเข้า SQ ได้เป็น 6,274 ไมล์ ซึ่งถ้าเอาไปใช้จ่าย Cash + Miles กับ SQ จะมีมูลค่าประมาณเกือบ 60 SGD หรือเกือบ 1,500 บาท ก็เหมือนได้คืนประมาณเกือบ 10%)
ครั้งนี้เลยเป็นครั้งที่มีโอกาสได้ใช้งานระบบซื้อตั๋วและจัดการการจองของ Singapore Airlines ต้องบอกเลยว่ารู้สึกว่าดีที่สุดเท่าที่เคยใช้มาทั้งหมด (CX TG JL QF AA UA MH EK QR) ที่ประทับใจมีสองจุดใหญ่ๆ คือการเลือกอาหาร กับข้อมูลการเดินทางในช่วงโควิด
สำหรับการเลือกอาหารจะมีทั้งแบบ Book the Cook คือเลือกเลือกอาหารจากเมนูหลักที่เหมือนกันทุกเส้นทาง แต่เลือกได้เฉพาะเส้นทางที่ออกจากสิงคโปร์ กับอีกส่วนคือเหมือนเลือกอาหารที่ต้องการรับไว้ก่อน เลือกได้ประมาณ 7 วันก่อนเดินทาง
จริงๆ แล้วระบบเลือกอาหารไม่ได้แปลกมากเพราะเกือบทุกสายการบินมีหมดในชั้นธุรกิจ แต่ว่าที่ชอบเป็นพิเศษคือระบบค่อนข้างง่าย ทำได้ทั้งบนเว็บและบนแอป และมีรายละเอียดอาหารให้อ่านพอสมควร
อีกส่วนที่ชอบคือหน้าข้อมูลการเดินทาง ที่ระบบใช้ข้อมูลว่าเราเดินทางจากไหน ไปไหน มีสัญชาติอะไร พำนักอยู่ที่ไหน และสถานะการฉีดวัคซีนเป็นอย่างไร เพื่อสรุปให้เลยว่าในการเดินทางไปและกลับเราต้องทำอะไรบ้าง
Airport Experience
อันนี้เป็นจุดที่ไม่ได้เก็บข้อมูลมามาก แต่อาจจะสรุปสั้นๆ ได้ประมาณนี้
- BKK – ใช้ช่อง Priority Immigration ได้ เลานจ์จริงๆ เลือกใช้ของ Star Alliance ใดๆ ได้ แต่ถ้าให้ดีสุดคงเป็น TG
- SIN – ตอนที่ไปเป็นจังหวะที่ SQ ยังเปิดเลานจ์เดียวคือ SilverKris Lounge ซึ่งทำให้คนล้นมาก จริงๆ ถ้าบินช้ากว่านี้อีกไม่กี่วันเลานจ์ KrisFlyer Gold Lounge จะเปิดด้วย ซึ่งคนก็จะเบาบางลงไปได้หน่อย ถึงกระนั้นเลานจ์มีห้องอาบน้ำค่อนข้างเยอะพอ และแม้คนจะเยอะก็ยังไม่ได้ต่อคิวยาวแต่อย่างใด
- IST – ใช้เลานจ์ของ Turkish Airlines ซึ่งมีเวลาได้แค่ทานอาหารนิดหน่อย โดยส่วนตัวไม่ค่อยอินกับอาหารพื้นถิ่นของตุรกีอยู่แล้ว เลยไม่อินมาก แต่โดยรวมก็กว้างขวางปลอดโปร่งดี ไม่รู้สึกแน่นเกินไปแม้จะคนเยอะ
Seats
เรื่องที่นั่งต้องแบ่งเป็นช่วง BKK-SIN ที่เหมือนจะใหม่กว่านิดนึง เป็นที่นั่งที่จัดแบบสลับซ้ายขวาคล้ายๆ กับแบบของการบินไทย จุดสังเกตคือรีโมตเป็นทัชสกรีนแบบเหมือนเอาสมาร์ทโฟนมาทำเลย นอกนั้นไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ที่นั่งปรับนอนได้ราบ 180 องศาตามปกติ (ขออภัยว่า จนกลับมาแล้วเพิ่งสังเกตว่าไม่ได้ถ่ายรูปที่นั่งชัดๆ)
แต่เลยทำให้คิดเรื่องนึงว่า เมื่อไหร่บนเครื่องบินจะมีรูชาร์จ PD แบบ USB-C นะ?





ส่วนขา SIN-IST เป็นแบบเก่ากว่า แต่จะดูใหญ่กว่า และเข้าใจว่า SQ เองก็จะเน้นใช้ที่นั่งแบบนี้สำหรับเส้นทางที่ยาวกว่า ที่นั่งจะเป็นแบบเหมือนกันทุกที่ไม่ได้สลับซ้ายขวา ซึ่งนอกเหนือจากสิ่งอื่นๆ ทั่วไปที่ที่นั่งชั้นธุรกิจมักจะมีหมดแล้ว มีข้อสังเกตที่แปลกๆ อีกสองจุด คือวิธีเปลี่ยนที่นั่งเป็นเตียง และช่อง HDMI





ส่วนแรกคือเตียง ปกติที่เคยเจอจะเป็นที่นั่งมันจะค่อยๆ เอนเลื่อนจนมาสุด 180 องศาราบกลายเป็นที่นอน แต่สำหรับที่นั่งแบบนี้คือวิธีเตรียมเตียงคือต้องปรับที่นั่งมาให้อยู่ในระดับตรงปกติ แล้วพับพนักพิงลงมาราบกับพื้นกลายเป็นเตียงราบพอดี ซึ่งพอพับมาแล้วมันจะมีที่นอนปูไว้เรียบร้อยพร้อมนอน และเข็มขัดสำหรับเตียงนอนมันจะแยกของมันเองที่คาดได้ง่ายสำหรับการนอน (โดยเฉพาะว่าต้องคาดให้อยู่นอกผ้าห่ม)
ส่วนถัดมาคือ HDMI ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งเครื่องที่มีรู HDMI ให้เสียบ (ก่อนหน้านี้พอรู้ว่าอย่าง Qsuite ของ QR ก็มี HDMI แล้วเหมือนกัน) เพราะงั้นอย่างขากลับที่ต้องทำงานก็เลยสามารถต่อสองจอทำงานได้สะดวก และรวมถึงเลยโหลด MasterChef Thailand มาดูได้ด้วย
สิ่งหนึ่งที่รู้สึกแปลก แต่ก็อาจจะเป็นเรื่องดี คือ SQ ไม่มีชุด Amenity Kit แจก แต่ถ้าอยากได้อะไรก็ขอมาได้เลย
Dining and Services
คือปกติเป็นคนลิ้นจรเข้อยู่แล้ว ทานอะไรก็อร่อย เลยตอบไม่ถูกจริงๆ ว่าอาหารดีไม่ดี แต่ก็คงต้องบอกว่าที่ผ่านมาอาหาร TG, JL และ CX ดูจะถูกปากที่สุด แต่ต้องบอกว่าไม่มีอะไรให้ประทับใจกับเรื่องอาหารเท่าไหร่ และทุกอย่างดูค่อนข้างเป็นอุตสาหกรรมอยู่ ดูแข็งๆ อธิบายไม่ถูก และถ้าพูดถึงอาหารในชั้นธุรกิจทั้งหมด ก็ยังไม่มีอะไรสู้ของ QR ที่สามารถเลือกเวลาทานเองได้อยู่ดี คือคิดเผินๆ อาจดูไม่สำคัญ แต่เอาเข้าจริงๆ การที่เลือกทานอาหารเองได้ เมื่อไหร่ก็ได้ มันส่งผลให้ประสบการณ์โดยรวมดีขึ้นมากจริงๆ บรรยากาศดูสบาย ไม่ต้องรีบทำอะไร และปฏิสัมพันธ์กับลูกเรือก็จะดูธรรมชาติกว่า
ทั้งหมดทั้งมวล ขอยัดรูปเลยแล้วกันง่ายดี












Inflight Wi-Fi
Wi-Fi บนเครื่องเป็นของ OnAir ในขา BKK-SIN และของ Panasonic ในขา SIN-IST แต่ว่าทั้งหมดแจกและขายเหมือนกันทุกประการ โดยถ้านั่งชั้นประหยัดแล้วเป็นสมาชิก KrisFlyer จะได้ใช้แบบแชทฟรี 2 ชั่วโมง ในขณะที่ถ้านั่งชั้นธุรกิจหรือเป็นสมาชิกระดับ PPS (บินชั้นธุรกิจและชั้นหนึ่งบน SQ ปีละ 25,000 SGD) จะได้ 100MB ในขณะที่ถ้าบินชั้นหนึ่งจะใช้ได้ไม่อั้น
นอกจากนี้ถ้าซื้อ จะสามารถซื้อได้ทั้งแบบปริมาณ และแบบไม่อั้นรายชั่วโมง แนะนำว่าแบบแชท 2 ชั่วโมงนี่แทบทำอะไรไม่ได้เลยเพราะบีบความเร็วมากๆ จนจะแค่ไลน์ยังไม่ค่อยจะไหว แต่ถ้าแบบ 100MB หรือ 3 ชั่วโมงนี่โอเคเลยใช้ได้ทุกอย่าง ถ้าจะแชทแนะนำเป็น 100MB แล้วเปิดระบบเซฟข้อมูล เซฟแบต กับอย่าเผลอเปิดไอจีน่าจะดีกว่า
Summary
สรุปแล้วโดยส่วนตัวรู้สึกว่าคุ้มอยู่ถ้าเทียบกับราคาโปรโมชั่น แต่ก็ต้องคิดไว้ว่าโปรมีความเสี่ยงอยู่มากเพราะถ้าจำเป็นต้องเลื่อนเวลาด้วยเหตุอะไรก็ตามมีโอกาสที่จะเจอตั๋วราคาแพงสุดๆ หรือไม่งั้นต้องยอมลงไปนั่งชั้นประหยัดไปเลย
ทั้งนี้ทั้งนั้นเดือนกันยายนมีจองไป BKK-SIN-EWR ซึ่งเป็นเส้นทางที่ได้ชื่อว่าเป็น World’s Longest Flight (ขึ้นอยู่กับว่าสำนักไหนจะวัดวิธีไหน) และเป็นเครื่องพิเศษของ Singapore Airlines ที่ไม่มี Economy Class เลย (ทั้งเครื่องมีแต่ Premium Economy Class กับ Business Class) แล้วจะมาเขียนอีกทีหนึ่งว่าเป็นยังไงบ้าง