ครั้งนี้ได้โอกาสมา Boston เนื่องจากมีโปรโมชั่น Singapore Airlines Business Class ราคาดีอยู่ และคิดว่าจะเป็นโอกาสได้นั่งเที่ยวบินยาวที่สุดในโลก 18 ชั่วโมงครึ่ง ก็เลยตัดสินใจจัดทริปนี้ขึ้นมา โดยเที่ยวบินมันจะบินไปถึงที่นิวยอร์ก เลยใช้เวลาคิดอยู่สักพักว่าจะไปเมืองไหนดี สุดท้ายจบที่ Boston เพราะคิดว่าน่าจะเที่ยวคนเดียวได้ไม่ต้องเช่ารถ และน่าจะค่อนข้างปลอดภัยเกี่ยวกับกรณี Asian Hate เพราะคนเอเชียอยู่เยอะ

เพราะเป็นการเดินทางมาถึงอเมริกาที่ปกติจะใช้เวลาเดินทางรวมๆ เกิน 24 ชั่วโมง เลยขอใช้พื้นที่ Day 1 ในเรื่องราวการเดินทางทั้งหมดก่อนแล้วกัน

สำหรับการเดินทางขาไป ภาพรวมคือจองไว้เป็น Singapore Airlines เส้นทาง BKK-SIN และ SIN-EWR และจองตั๋วแยกอีกใบเป็น United Airlines เส้นทาง EWR-BOS ซึ่งคราวนี้เลยลองขอให้เคาน์เตอร์ SQ ที่ BKK ลองเช็คอินยาวให้ถึงที่ BOS เลย ก็ปรากฎว่าทำได้ ได้บอร์ดดิ้งพาสมา 3 ใบ

ช่วงนี้การเข้าประเทศอเมริกาจะต้องมีการพิมพ์แบบฟอร์ม กรอก เซ็น แล้วเอามาให้ที่เคาน์เตอร์เช็คอินพร้อมหลักฐานการฉีดวัคซีน เซอร์เรียลที่สุดก็คือเพราะต้อง “พิมพ์” ออกมาเนี่ยแหละ ไม่มีกรอกออนไลน์

ก่อนหน้านี้ดีใจขึ้นมานิดนึงก็คือได้ยินมาว่าเลานจ์ Singapore Airlines ที่สุวรรณภูมิกำลังจะกลับมาเปิดพอดี สรุปพอเข้าไปถึงก็พบว่า…

OK นะค่ะ

ก็ช่างมัน แล้วก็มาขึ้นเครื่อง ไม่รู้ทำไมรอบนี้มาตรวจบอร์ดดิ้งพาสกันข้างบน

ไม่มีคิวแยกด้วย ต่อยาวๆ ไป
ที่นั่งรอบ BKK-SIN
รอบนี้มีเมนูกระดาษแล้ว

แล้วก็แวะพักอยู่ที่สิงคโปร์ประมาณ 7 ชั่วโมง แวะไปหาพี่สาว ก่อนจะกลับมาสนามบิน แวะเลานจ์ใหม่ที่รอบนี้แยกระหว่างคนที่นั่ง Business/First Class กับบัตรทองแล้ว แต่คนก็ยังเยอะเป็นหนอนอยู่ดี นี่เกือบไม่ได้อาบน้ำเพราะคิวยาวมาก แต่ไปอ้อนแซงคิวมาโดยขอว่าจะอาบให้เสร็จภายใน 15 นาที ซึ่งก็ทำได้จริงๆ

เลานจ์ใหม่ แต่จริงๆ ก็ที่เดียวกับรอบไปตุรกีแต่เหมือนปรับโซนนิดหน่อย และทางเข้าแยกกันแล้วระหว่างของผู้โดยสาร First/Business กับสมาชิกบัตรทองต่างๆ
ชุดนอนไม่ได้นอน

อาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนชุดพร้อมนอนก่อนขึ้นเครื่อง สำหรับรายละเอียดเที่ยวบิน SIN-EWR ไว้คงมาแยกอีกโพสต์นึงต่างหาก แต่ถ้าเล่าถึงภาพรวมก็คิดว่าไม่แย่เกินไปเพราะพอมีเน็ตไม่อั้นให้แล้วก็เลยทำงานได้ด้วย เลยรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วกว่าปกติ ทำงาน นอน กิน สลับไปมาแปปๆ ก็หมดละ 18 ชั่วโมง

บรรยากาศบนเครื่อง
สภาพพร้อมนอนเต็มที่
การทำงานแล้วมีสองจอบนเครื่องนี้ฟินสุดละ
ตอนอยู่กลางทาง รู้ตำแหน่งด้วย Lock Screen ใหม่สมัยนิยม

มาถึงที่ EWR ก็โชคดีที่เป็นเที่ยวบินเช้าหน่อย คนเลยยังไม่เยอะ ต่อคิวไม่ยาว ก็รีบผ่าน Immigration แล้วนั่งรถไฟย้ายไปอีกเทอร์มินัลเพื่อเตรียมต่อเครื่องไป BOS ต่อ ความตลกตรงนี้นิดนึงคือตอนตรวจกระเป๋าเขายอมให้เอาขวดน้ำ 500ml ที่หยิบมาจากบนเครื่องแล้วลืมไว้ในกระเป๋าผ่านมาเฉย มารู้ตัวอีกทีว่ามีอยู่ตอนจะขึ้นเครื่องแล้ว

เที่ยวบิน EWR-BOS จองไว้เป็น First Class แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าตั๋วในประเทศอเมริกาชอบเรียกชั้นพรีเมียมว่า First เลย แม้ว่าที่นั่งอาจจะนับได้แค่ว่าเป็น Business หรือ Premium Economy ก็ตาม และสิ่งนึงที่มาค้นพบให้ตกใจเล่นคือไม่มีเลานจ์! สุดท้ายเลยต้องใช้สถานะ TG Gold ในการเข้าเลานจ์แทน ซึ่งเลานจ์ก็เต็มไปด้วยอาหารอเมริกันที่ไฟเบอร์เยอะสุดน่าจะได้จากแอปเปิล รองมาคือเลย์

ตอนจองตั้งใจจองตั้งใจจองไว้เป็นเครื่อง 737 MAX จะได้ใหม่หน่อย (ไม่น่าเป็นไร เค้าอัปแพทช์แล้ว) และก็โชคดีที่ได้มาในราคาแค่ $149 (ถือว่าถูกแล้ว และคิดว่าคุ้มเพราะโหลดกระเป๋าได้ด้วย ตอนแรกยังไม่แน่ใจว่าสุดท้ายจะโหลดกระเป๋ามาไหม แต่สรุปสุดท้ายก็ไม่ได้โหลดอยู่ดี)

ที่นั่ง First จะเป็นแบบ 2-2 ซึ่งก็กว้างกว่า 3-3 ใน Economy นิดหน่อย กับมีเครื่องดื่มเสิร์ฟ ซึ่งเอาแค่น้ำเปล่า ฮา…

เนื่องจากไม่มีรูปของตัวเอง เลยขโมยรูปมาจากที่นี่
นั่งข้างนักบิน UA บินเดดเฮด

แล้วก็มีเรื่องตลกนิดนึงคือ ตอนซื้อตั๋ว UA ถ้าใช้บัตรเครดิตไทย มันจะบังคับให้จองในราคาเงินบาทที่มันคำนวณมาให้เรียบร้อย ประเด็นคือไม่รู้เว็บมันบั๊กอะไรยังไง แต่มันเลยคิดราคา Wi-Fi ที่ซื้อไว้จากเดิม $8 เหลือแค่ 8 บาท เลยเหมือนได้ใช้เน็ตฟรีในเที่ยวบินนี้เลย ฮา…

Inflight Wi-Fi แปดบาท
หน้าจอ Wi-Fi จริงๆ ถ้าใช้เน็ตแค่ส่งข้อความนี่ใช้ได้ฟรีนะ เน็ตเร็วอยู่ ดู YouTube ได้ ประมาณเดียวกับของ Qantas ในประเทศเลย

หลังจากที่มาถึง Boston การเข้าเมืองทำได้ง่ายและฟรี โดยการใช้รถบัสสาย Silver Line (เหมือนจะมีอยู่ 3 – 4 สายไม่แน่ใจ) โดยสายที่นั่งมาเป็นสาย SL1 มาลงที่ South Station ก่อนที่จะเดินลากกระเป๋าอีกประมาณ 10 นาทีไปโรงแรม

ตอนแรกกลัวอยู่จะหาที่ขึ้น SL1 ยากมั้ย ปรากฎง่ายมาก เดินออกมาตามป้ายเรื่อยๆ แล้วเจอเลย
ความน่าสนใจคือสาย SL1 เหมือนช่วงนึงมันขับอยู่ในอุโมงค์ที่เหมือนมีแต่รถบัสเลย แล้วจุดขึ้นลงก็เหมือนเป็นสถานีรถไฟใต้ดินเป็นจุดๆ เลย

โรงแรมครั้งนี้เลือกมาพักที่ Moxy Boston Downtown เนื่องจากมี Boba Index สูง จริงๆ ตอนแรกอีกตัวเลือกหนึ่งคือ W Boston แต่คิดว่าด้วยสไตล์ของ Moxy นอกจากจะประหยัดแต้มกว่าเป็นแสนแต้มแล้ว ยังเหมาะกว่าตรงที่มี Grab & Go 24 ชั่วโมง ซึ่งน่าจะเหมาะกับเราที่แพลนจะใช้ชีวิตแบบ GMT+7 แม้จะมาเที่ยวที่นี่ก็ตาม สำหรับโพสต์เกี่ยวกับโรงแรมน่าจะแยกเป็นอีกโพสต์หนึ่งคราวหลัง

Moxy Boston Downtown ห้อง River View (ไหนวะแม่น้ำ)

หลังจากนั้นก็ซื้อนั่นนี่นิดหน่อยกินที่โรงแรม ถึงเวลาประมาณบ่ายสอง (ตีหนึ่งไทย) ก็ได้เวลานอน จบวันที่ 1 ของทริป Boston

มื้อแรกที่บอสตัน

Leave a comment