เมื่อช่วงวันเกิดที่ผ่านมา ตัดสินใจไปเที่ยวไทเปซึ่งเกิดจากการที่ดักจองโรงแรมโดยใช้แต้มไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ตอนที่ไต้หวันยังไม่เปิดประเทศ โดยจริงๆ ตอนแรกจองดักไว้ทั้ง Sheraton Grand Taipei และ W Taipei ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ถ้ากะเอาคุ้มเนี่ยที่ Sheraton คุ้มกว่ามากเพราะใช้แค่ 87,000 คะแนน ในขณะที่ของ W Taipei แลกมาที่ 179,000 คะแนน แต่สุดท้ายก็คิดว่าเอาวะขอเที่ยวแบบไฮโซซะหน่อย เลยยกเลิก Sheraton ไป และลง Suite Night Award ที่ W Taipei รวดห้าคืน

Pre-arrival

สำหรับที่ W Taipei จะใช้ SNA เลือกได้แบบเดียวเลยคือ Marvelous Suite ซึ่งเป็นห้องเทียร์สาม (Wonderful > Spectacular > Marvelous > Fantastic > Wow > Extreme Wow) แต่พอมาถึงโชคดีเขาอัปให้อีกขั้นเป็น Fantastic ซึ่งจะได้เห็นวิว Taipei 101 (ห้อง Marvelous จะไม่เห็น)

แต่มันก็มีปัญหาอยู่หน่อยคือ เอะใจว่าทำไมถึงไม่มีการติดต่อใดๆ จากโรงแรมมาก่อนที่เราจะเข้าพัก (มาค้นพบทีหลังว่าเหมือนข้อมูลอีเมลในระบบจองผิด) แต่ก็เลยติดต่อทาง W Bangkok ให้ช่วยประสานให้ และต้องปรบมือดังๆ ให้กับทั้ง W Bangkok และ W Taipei ที่ถ่ายข้อมูลกันมาได้อย่างมหัศจรรย์ (เดี๋ยวเล่าอีกที)

ทั้งนี้ปฏิสัมพันธ์หลักๆ ที่มีกับโรงแรมช่วงก่อนเดินทางจะเป็นเรื่องการจองทัวร์ ซึ่งทางโรงแรมก็ช่วยเหลือได้ดี แต่ก็คิดว่ายังมีหลายครั้งที่ช้าอยู่บ้าง

Suite

ห้อง Fantastic Suite แม้ว่าจะเป็นห้องเทียร์สูงกว่า Marvelous Suite แต่จริงๆ แล้วมีพื้นที่น้อยกว่า แต่ทีเด็ดคือความเป็นห้องมุมที่มีกระจกยาวทั้งสองด้าน และเห็นวิว Taipei 101 แบบชัดมาก

ห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานทั่วไปเท่าที่จะคาดเดาได้ สิ่งที่มีเพิ่มเป็นพิเศษคือมีเตารีดแบบพ่นไอน้ำ ดีไซน์ห้องก็เป็นแนว W ทั่วไป แต่คิดว่ามีความโฮมมี่กว่า W Bangkok จากการใช้สีเขียวหรือลายไม้ในดีไซน์เยอะกว่า

ด้วยความเป็นห้องกระจกยาวแบบนี้ ม่านเลยเป็นม่านแบบไฟฟ้าที่มีสองระดับคือแบบปิดทิบกับแบบแสงผ่านได้อยู่ มีปุ่มให้กดขึ้นลงได้ แยกส่วนระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องนอน

น้องส้วมมีแยกไปมิดชิด แต่ห้องน้ำจะเปิดๆ รวมเป็นห้องเดียวกับห้องนอนเลย จุดสังเกตอีกอย่างของห้องนอนคือมีเครื่องทำไวท์นอยส์ มีเสียงฝนตก เสียงซ่าๆ อะไรแบบนี้ช่วยหลับ

อีกอย่างที่สวยดีคือมุมห้องจะมีโคมไฟเล็กๆ ห้อยอยู่ ตอนกลางคืนสวยมาก คือเข้าใจว่ามันเป็นซอกที่ทำอะไรมากไม่ได้เพราะติดเสา ก็เลยรู้สึกว่าเป็นการใช้ลูกเล่นของที่ๆ ทำอะไรไม่ได้ให้ดูมีอะไรขึ้นมา

และตอนเข้าห้องมาครั้งแรก ก็มีเรื่องน่าประทับใจสองสามอย่าง อย่างแรกคือเค้กวันเกิด แต่อันนี้ก็พอจะเดาได้ว่าเขาคงต้องทำเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว แต่อีกอย่างคือมีเครื่องฟอกอากาศตั้งไว้ให้ทั้งในห้องรับแขกและห้องนอน โดยตอนเช็คอินพนักงานก็พูดขึ้นมาเลยว่าเตรียมไว้ให้แล้วนะ อันนี้เป็นเรื่องนึงที่น่าจะเอาข้อมูลมาจากที่ W Bangkok เพราะว่าเป็นของที่ขอไว้ทุกครั้งที่ไปพักเหมือนกัน

Breakfast

อาหารเช้าที่นี่เสิร์ฟที่ห้องอาหาร The Kitchen Table ชื่อเดียวกันกับ W ที่อื่นๆ แต่โดยรวมอาหารไม่ได้หลากหลายมากเท่าที่ W Bangkok, W Koh Samui หรือ W Hong Kong แต่ก็ยังดีกว่าที่ W Istanbul

แต่ที่จะประทับใจคือมีน้ำผลไม้แบบโคลด์เพรสทำสดๆ กับที่ไม่เห็นนานแล้วคือข้าวต้มจืดกับผักดองหลากชนิด อาหารเช้าสไตล์จีนที่ไม่ได้ทานนานมากแล้ว

และที่ตะลึงต่อมาก็คือวันแรกที่มาทานข้าวเช้า พนักงานเดินมาส่งที่โต๊ะเสร็จ แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “Would you like Thai Tea with soy milk?” นั่นแน่ทำการบ้านมาอีกแล้ว แต่หัก 1 คะแนนเพราะเอามาเป็นแบบร้อน

Fitness Facilities

ฟิตเนสที่นี่น่าจะเรียกว่าเป็นยิมโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาทั้งหมดละ คือกว้าง แล้วเครื่องเล่นก็ค่อนข้างจริงจัง เครื่องคาร์ดิโอก็มีเยอะ นอกจากนี้ยังมีคลาสทุกวันด้วย

นอกจากนี้ยังมีห้องอาบน้ำ บ่อแช่น้ำร้อน ซาวน่า สตีม ครบอีกต่างหาก

ในส่วนสระน้ำเป็นสระ 25 เมตร แต่อยู่คนละชั้นกับยิม เวลาจะไปจากห้องแต่งตัวจะมีลิฟต์มีพิเศษแยกอยู่ ตัวสระอยู่ชั้น 10 มองออกมาได้จากทั้งห้องอาหาร The Kitchen Table และบาร์ Woobar

Bar

บาร์โรงแรมนี้มีสองจุดคือชั้น 10 เป็น Woobar และที่ชั้น 31 เป็น Yen Bar

ส่วนของ Woobar มีโอกาสใช้บริการแค่ไม่กี่วันช่วงเย็น โดยสมาชิก Bonvoy Platinum ขึ้นไปจะสั่งเครื่องดื่มฟรีจากในลิสต์ได้ 2 แก้วต่อวันในช่วงเวลา 17:00 – 19:00

กับ Yen Bar มีโอกาสไปใช้บริการคืนนึง พื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่บางโต๊ะจะได้วิว Taipei 101 เต็มๆ

ทั้งนี้ทั้งนั้นลืมบอก Bonvoy Platinum ขึ้นไป หรือสมาชิก Club Marriott ได้ส่วนลด 20% สำหรับอาหารและเครื่องดื่มไม่แอลกอฮอล์ในทุกร้านอาหารที่ W Taipei

Service

สิ่งที่คิดว่าอยากจะเน้นมากๆ เลย และคิดว่าเป็นจุดเด่นของ W ก็คือเรื่องบริการ แม้ว่าจะให้พูดตามตรงคือมันสู้ W Bangkok หรือ W Koh Samui ไม่ได้ แต่เดาว่าเพราะประสบการณ์ส่วนใหญ่ที่มีกับ W ในไทยคือช่วงโควิดที่แขกไม่เยอะ พนักงานเลยดูแลได้ทั่วถึงกว่า แต่ที่นี่ก็น่าจะนับได้ว่ารองๆ จากในไทยลงมาอีกแค่นิดเดียว (ส่วน W Istanbul แนะนำว่าให้ไปนอน AC Hotel ใกล้ๆ กันแทน ได้บริการเท่ากัน)

อย่างแรกก็คือดีเทลที่เอามาจาก W Bangkok ทั้งเรื่องชานมซอยมิลค์หรือเครื่องฟอกอากาศ ไปจนถึงการดูแลยิบๆ ย่อยๆ หลายอย่างที่มันมีความยืดหยุ่นแบบ Whatever/Whenever จริงๆ บางวันไม่สะดวกทานข้าวเช้า แต่อยากกินอะไรบางอย่างเป็นพิเศษเขาก็เอามาเสิร์ฟให้ที่ห้องแทนตอนเช้า ไม่ได้คิดตังเพิ่ม วันแรกที่ไปอาหารเป็นพิษ ไม่ได้กินเค้ก ก็ทำเค้กมาให้ใหม่อีกทีหลังจากหายแล้ว หรืออย่างเรื่องทัวร์ที่ก็คอยเป็นตัวกลางดูแลให้ซึ่งก็ทำให้อุ่นใจไปได้เยอะ คือจริงๆ ลืมน่าจะแคปหน้าจอแชทที่คุยกับโรงแรมทั้งหมดตลอด 5 คืน น่าจะประมาณ 30+ หน้าไอโฟน เพราะจะขอให้ทำนั่นดูนี่เช็คนั่นอะไรตลอดเวลา เช่นกำลังจะกลับขอเซ็ตแอร์ที่ 23 องศาไว้หน่อย กลับมาถึงมันก็เออ 23 จริงๆ คือเล็กๆ น้อยๆ แต่สุดท้ายมันก็แบบเออเรารู้สึกว่าเราขอได้อะ

สรุปคือเป็นคนเรื่องเยอะ แต่ W Taipei ก็แยะตามความเยอะของเราได้จริงๆ

In-room Dining คือหนึ่งในความจุกจิกที่มีตลอด

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งหมดต้องให้เครดิต W Bangkok ด้วย เพราะคิดว่าถ้าทาง W Bangkok ไม่ประสานมาตอนแรก ที่นี่ก็คงไม่ใส่ใจขนาดนี้ วันสุดท้าย GM ของโรงแรมมาทักที่ตอนมื้อเช้า บอกว่าเขาได้อีเมลจาก GM ของ W Bangkok เกี่ยวกับที่เราจะมาพักที่นี่ด้วย

Bottom Line

คือเมื่อก่อนเคยคิดว่าถ้าเวลาไปเที่ยวแบบที่ไม่ได้อยู่ในโรงแรมเนี่ย เราไม่ต้องนอนโรงแรมแพงก็ได้ แต่มารอบนี้ทำให้รู้เลยว่าแบบการมีโรงแรมที่มัน Whatever/Whenever แบคเราอยู่ข้างหลังตอนเราไปเที่ยวทำนี่ทำนั่นมันก็มีความสะดวกและอุ่นใจอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ และทำให้ชีวิตรู้สึกง่าย

หลังจากที่หมดศรัทธาจาก W Istanbul ไป W Taipei ก็ทำให้มีหวังขึ้นมาใหม่ มีแรงฮึดจะตั้งเป้าจะไปลอง W Osaka, W Melbourne, W Sydney และ W Brisbane ภายในปีนี้ให้ได้

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s