Wednesday Child

ในประเด็นการเมืองช่วงที่ผ่านมานี้ จริงๆ แล้วมีเรื่องหนึ่งที่ออกจะขัดหูขัดตาผมอยู่พอสมควร (และก็คงเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ค่อนข้างอคติกับพวกสาย Liberal Democracy สักหน่อย)

นั่นก็คือสารพัดการแดกดันประชดประชันชนชั้นกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร

ผมเองก็คงเป็นคนที่จัดได้ว่าอยู่ในกลุ่มชนชั้นกลางอยู่ไม่มากก็น้อย ทุกๆ ครั้งที่ได้ยินอะไรแบบนี้ ก็จะอดหงุดหงิดไปเสียไม่ได้ วันนี้เลยจะขอโพสท์ระบายอารมณ์เสียบ้าง

ในความเป็นจริงหากมองในภาพรวมแล้ว ผมคิดว่าข้อครหาที่มีต่อชนชั้นกลางต่างๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนที่จัดตัวเองอยู่ในกลุ่มรากหญ้า และกลุ่มชนชั้นกลางที่จัดตัวเองว่าก้าวข้ามความคิดเดิมของชนกรุงเทพฯ ไปแล้วนั้น) ก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล เราคือกลุ่มคนที่ไม่ได้เข้าใจปัญหาในภาพรวมจริงๆ ไม่ได้เข้าใจว่าปัญหาความยากจนที่เกษตรมีเป็นอย่างไร ไม่เข้าใจว่าความยากลำบากในชีวิตของกลุ่มคนรากหญ้าเป็นอย่างไร

สิ่งที่เราทำ มีแต่การชี้หน้าด่าคนที่เราเชื่อว่าคือ “คนโกงกินประเทศชาติ” และรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจกับการที่วิหารแห่งวัตถุนิยมของพวกเราถูกปิด และซ้ำร้ายถูกเผาในเวลาต่อมา

คนอื่นอาจตัดสินจากมุมมองเหล่านี้ของพวกเราว่าช่างคับแคบ ซึ่งผมคงไม่ปฏิเสธ และเห็นด้วยว่าเราคงต้องปรับทัศนคติให้กว้างขึ้น ถึงจะนำพาประเทศชาติให้พ้นจากปัญหาที่มีอยู่นี้

เพียงแต่ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรม ที่เราจะกล่าวหาชนชั้นกลางว่าพวกเราผิด แค่เพียงเพราะพวกเรามีความเชื่อเช่นนี้

ชนชั้นกลางที่เติบโตในสังคมเมือง เราถูกเสี้ยมสอนให้นับถือในสิ่งที่สังคมเชื่อว่าดีงาม และชีวิตของพวกเราวุ่นวายเกินกว่าที่จะใส่ใจถึงเหตุและผลของความเชื่อเหล่านั้น

ในโลกของเรา เราถูกสอนให้แข่งขันในสนามแข่งที่ทุกคนต้องเอาตัวรอด เราถูกสอนให้พึ่งพาตนเอง ให้เชื่อว่าชีวิตของพวกเราจะสำเร็จได้ถ้าเราพยายาม และทุกสิ่งที่เราหาได้คือสิ่งที่เราหาได้ด้วยตัวเอง ระบบในสนามที่เราแข่งขันอยู่ถูกออกแบบมาให้แข่งขันอย่างเป็นธรรม (อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง) เราจึงไม่เข้าใจเมื่อกลุ่มคนรากหญ้าต่างออกมาเรียกร้องให้คนอื่นช่วยเหลือ โดยที่ไม่คิดจะทำอะไรเอง เราไม่เข้าใจว่าสนามที่เขาแข่งขันอยู่นั้นมีความไม่ยุติธรรมอย่างไรบ้าง

เราถูกสอนมาว่าการโกงกินคือสิ่งที่ผิด ทุกคนต้องแข่งขันอย่างยุติธรรม เราเลยไม่เข้าใจเมื่อใครบางคนใช้อำนาจในทางที่ผิด และนำผลประโยชน์เข้าตัว เราตัดสินว่าเขาผิด เพราะเราไม่เห็นว่าสิ่งที่เขาทำเพื่อตนเองนั้น อาจจะมีบางส่วนที่ไปถูกใจใครในระดับอื่นๆ ที่เราเข้าไม่ถึง และมองไม่เห็น

เราเป็นเพียงกลุ่มคนที่เอาแต่วิพากษ์วิจารณ์ และใช้ชีวิตของเราไปตามระบบสังคมที่ออกแบบไว้อย่างเข้มงวด ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว เราไม่ใช่คนที่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เราไม่ได้มีเงินตรา อำนาจบุญวาสนาบารมี หรือกำลังที่จะมาต่อสู้แย่งชิงอะไรกับใคร เราไม่ได้มีจำนวนเสียงที่นับตามจำนวนจิตวิญญาณตามระบอบที่เราเชื่อให้ทุกคนมีค่าเท่ากับหนึ่งหน่วยจนทำให้เป็นเสียงส่วนใหญ่ได้

ใครมีอะไรอยากให้พวกเรารับรู้ คุณบอกมาดีๆ เราพร้อมที่จะรับฟัง

แต่อย่าโทษเรา ถ้าเราไม่เข้าใจ

เพราะเราเป็นแค่ลูกคนกลาง ที่ไม่ได้มีอำนาจพอจะทำอะไรได้ดั่งใจเหมือนพี่ใหญ่ และไม่สามารถจะงอแงเรียกร้องให้ใครเอาใจได้เหมือนน้องเล็ก

Territorial Me

สมัยคบอยู่กับแฟนเก่า ผมออกจะเป็นคนขี้หึงเสียสักหน่อยครับ จนแฟนเก่าผมเขาก็ทักว่าผมเป็นคนที่ territorial เสียมากๆ ตอนนั้นผมยังไม่รู้ความหมายของคำนี้เลยด้วยซ้ำ เผื่อใครไม่ทราบ ในความหมายนี้คือจะบอกว่าผมเป็นคนที่หวงขอบเขตของตัวเอง อารมณ์หมาหวงที่อะไรแบบนี้

จริงๆ การที่บอกว่าผมเป็นคน territorial หวงถิ่นก็คงจะตรงอยู่ไม่น้อยนะครับ เพราะผมเป็นคนที่ชัดเจนในเรื่องของขอบเขตอยู่พอสมควร ในเขตที่ผมตั้งว่าเป็นของตัวเอง ผมก็จะไม่ชอบให้ใครมายุ่ง ในขณะเดียวกันถ้าเป็นเขตของคนอื่น ผมก็จะไม่ค่อยชอบเข้าไปยุ่งสักเท่าไหร่ (เข้าไปรู้ กับเข้าไปยุ่งนี่คนละแบบกันนะครับ แบบแรกนี่ทำตลอด) เว้นแต่ไอ้เขตของคนอื่นมันจะมีเรื่องอะไรที่มากระทบกับเขตของผม ผมก็จะเข้าไปวุ่นเป็นบ้าเลยครับ

สมัย ICTFC1 (ปี 2547) ผมเคยมีดราม่ากับโอครั้งนึง จริงๆ จำละเอียดมากไม่ได้แล้ว แต่เหมือนกับโอจะเผลอไปประกาศอะไรสักอย่างเกี่ยวกับกิจกรรมของผมที่ยังไม่ได้บอกน้อง จริงๆ โอก็คงหวังดีน่ะแหละครับ แต่วันนั้นพอผมมาทีหลังแล้วพบว่าโอเข้ามาแย่งหน้าที่ผม ผมก็ออกจะหงุดหงิดเสียมากๆ จนงอนตุ๊บป่องหนีขึ้นห้องไปเสียตั้งนาน มานึกดูตอนนี้ก็รู้สึกว่าถึงโอจะผิดยังไง เราก็ overreact แสดงออกเวอร์ไปอยู่ดี

ถ้าพูดถึงเรื่องทำงาน หลายๆ คนที่คุ้นเคยกับผมคงจะพอนึกภาพออกถึงความ territorial หวงถิ่นของผม เพราะผมจะจู้จี้จุกจิกในทุกรายละเอียดตราบเท่าที่ผมรู้สึกว่ามันเป็น “พื้นที่” ของผม ในขณะนี้เรื่องอื่นๆ เมื่อใดก็ตามที่ผมคิดว่าผมไม่เกี่ยว ไม่ได้มีหน้าที่อะไร ผมก็มักจะปล่อยไปและไม่ยุ่ง แม้ว่าจะมีอะไรที่ไม่ถูกใจก็ตาม

อย่างตอนค่าย MICT เมื่อต้นปีที่ผ่านมาที่ภพเป็นประธาน ถ้าให้พูดกันตามตรงก็มีเป็นล้านเรื่องเลยครับที่ออกจะขัดหูขัดตาผม อย่างเรื่องคนไม่ยอมไปนอน หรือเรื่องคนหลับในเวร ซึ่งถ้าเป็นค่ายของผมแล้วมีอะไรแบบนี้ผมคงจะจัดการจนดับสูญกันไปหมดแล้ว แต่อย่างในค่ายนี้พอมันไม่ใช่เรื่องอะไรของผม ผมทำได้อย่างมากก็แค่เสนอความคิดเห็นกับภพ แล้วภพจะทำหรือไม่ทำจริงๆ มันก็เรื่องของผม ไม่ใช่ธุระที่ผมจะต้องเดือดเนื้อร้อนใจอะไร ไม่ว่าภพจะทำตามหรือไม่ทำก็ตามแต่

อาจเพราะผมเองก็ทำงานอยู่ในฐานะของผู้ตัดสินใจอยู่บ่อยๆ ผมเองเลยไม่ค่อยรู้สึกอะไรเวลาที่คนมีอำนาจตัดสินใจสูงกว่าผมจะตัดสินใจอะไรที่ไม่ตรงใจผมนะครับ เพราะประการแรกผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะตรงใจผมยังไง ก็ต้องไม่ตรงใจใครอยู่ดี และการที่ผู้นำจะตัดสินใจให้ตรงใจใครไปหมดก็คงเป็นไปไม่ได้ ผมเองอยู่ในจุดนั้นจึงพอจะเข้าใจ และประการที่สอง ต่อให้ไม่มีผู้ตามสักคนเห็นด้วย แต่ผมก็เคารพใน authority สิทธิ์ของคนที่ได้รับสิทธิ์นั้นๆ ซึ่งแปลว่าตรงนี้คือพื้นที่ของเขา ไม่ว่าเขาจะมีวิสัยทัศน์อะไรที่เราไม่เข้าใจก็ตาม

แต่นี่ก็คงไม่รวมถึงกรณีที่ถ้าเรามีสิทธิ์อะไรที่เราต้องปกป้องนะครับ อย่างที่ผมเคยพูดในบล็อก Privileged Unparity Liberally Conservative ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็แปลว่าบางคนกำลังจะบุกรุกพื้นที่ของเรา ถ้าเป็นผม ก็คงสู้จนตัวตายเหมือนกัน

ผมเองคงไม่สรุปนะครับว่าแนวคิดของการที่มีขอบเขตชัดเจนนี่เป็นเรื่องที่ดีหรือเปล่า ผมคงกล้าพูดแค่ว่านี่เป็นสไตล์ผม ที่อย่างน้อยก็พยายามจะชัดเจนว่าอะไรคือเรื่องของเรา อะไรไม่ใช่ แต่ถ้าจะให้เถียงว่าดีกว่าหรือแย่กว่าแบบไหนอย่างไรผมก็คงจะจนปัญญา และไม่รู้สึกว่าเป็นพื้นที่ของผมที่ต้องเถียงสักเท่าไหร่

และสำหรับบางเรื่อง แม้ว่าตัวผมเองก็จะไม่ได้มีความสุขกับข้อเท็จจริงนี้ แต่ตราบเท่าที่ด้วยกฎด้วยเกณฑ์ทั้งหมดแล้ว นี่คือพื้นที่ของผม และผมคือคนที่มีสิทธิ์

Suck it up or get out of my way. ♥ XOXO