JP/US 2014 – Day 10

และแล้วก็เดินทางมาถึงวันสุดท้ายที่ญี่ปุ่น ในวันนี้เรามีกำหนดการในการช็อปปิ้งเป็นหลักอย่างเดียว ก่อนที่ในตอนเย็นจะเดินทางกลับที่สนามบิน Haneda โดยที่ทั้งสามคนออกเดินทางเวลาไล่เลี่ยกัน แต่คนละเที่ยวบินทั้งหมด ของผมเป็น JL ไป SFO ในขณะที่แทนเป็น JL กลับ BKK และกรเป็น NH กลับ BKK

ตอนเช้าหลังจากที่เก็บของ เช็คเอ้าท์และกินข้าวเช้า เราก็ตัดสินค่อยๆ เดินจากแถว Kanda ที่อยู่มายัง Akihabara โดยแทนมีเป้าหมายสำคัญที่จะไปร้านเซ็กซ์ช็อปซึ่งน่าตื่นตาตื่นใจ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปข้างใน แต่ละคนก็ได้ของติดไม้ติดมือกันมาคนละนิด ยกเว้นแทนที่เยอะมาก ฮ่าๆ

หลังจากนั้นเราก็ไปที่ Yodabashi ที่เป็นศูนย์รวมขายของไอทีและใกล้เคียงที่ใหญ่มาก ซึ่งก่อนหน้านี้ที่เคยมาญี่ปุ่นก็เคยใช้บริการแล้วเพื่อซื้อกันดั้มให้เบสท์กับหยอดกาชาปองมากมายไว้เป็นของฝาก ทีแรกเกือบบ้าจี้ซื้อกันดั้ม PG กลับมาให้เบสท์แล้ว แต่ไม่สามารถหาวิธีจะขนกลับมาได้ เลยไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะ

พอซื้อของต่างๆ กันเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางมายังสนามบิน Haneda เพื่อเตรียมที่จะเดินทางกลับ จัดการกระเป๋าต่างๆ ของผมเองก็ฝากแทนกลับกรุงเทพฯ ไปเพราะจะต้องไปอเมริกาต่อ ก่อนที่เราจะออกเดินทางประมาณเที่ยงคืนทุกคน โดยรวมแล้วในวันนี้เราแทบจะไม่ได้ถ่ายรูปกันเลย เลยจะมีแค่เพียงภาพเซลฟี่รวมสุดท้ายก่อนแยกย้ายขึ้นเครื่องที่สนามบินภาพนี้

IMG_1090

สำหรับผมเองก็ต้องเดินทางมายัง SFO ต่อด้วย JL2 ซึ่งน่าตื่นเต้นตรงที่เป็นเครื่องใหม่ Boeing 787 ก็เลยมีหลายอย่างที่ว้าวอยู่บ้าง (บางอย่างอาจจะเคยมีในเครื่องเก่ากว่านี้ที่อื่น แต่ผมอาจจะไม่เคยขึ้นก็ได้ ขออภัยมา ณ โอกาสนี้) และหลายๆ อย่างเป็นฟีเจอร์ภายในห้องโดยสารที่ไม่แน่ใจว่าในทางเทคนิกแล้วอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับการที่เป็น 787 เท่ากับการที่เป็นเครื่องใหม่มากกว่า น่าเสียดายที่รอบนี้ที่ว่างเยอะ อดอัปเกรดเป็น Business Class ฮา…

อย่างแรกคือ ไฟต่างๆ ในห้องโดยสารเหมือนจะกลายเป็นไฟ LED หมดแล้ว แล้วไฟเหลืองๆ ก็เปลี่ยนเป็นไฟขาวทั้งหมด จริงๆ อันนี้ก็ออกจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะสำหรับไฟที่ส่องที่นั่งพอเป็นสีขาวก็รู้สึกว่าแรงกว่าสีเหลืองไปพอสมควรเหมือนกัน

ต่อมาสิ่งที่สังเกตเห็นคือไฟห้องโดยสารทั้งหมดเปลี่ยนสี โดยตอนแรกที่ออกตอนกลางคืนไฟจะเป็นสีฟ้าๆ จนพอปิดไฟให้นอนก็กลายเป็นน้ำเงินเข้ม แล้วจำได้เลยว่าพอดีตื่นตอนจังหวัดเขาจะปลุกมาทานข้าวเช้าก่อนเครื่องลงพอดี เลยได้มีโอกาสเห็นไฟสีน้ำเงินที่ค่อยๆ เฟดเป็นสีแดง ส้ม จนกลายเป็นเหลือง เลียนแบบกับพระอาทิตย์ขึ้นอย่างไงอย่างงั้น

IMG_7826

 

IMG_7837

นอกเหนือจากไฟ สิ่งที่ช่วยรักษาบรรยากาศในห้องโดยสารอีกอย่างคือกระจกปรับแสงอัตโนมัติ ที่พออยู่ในช่วงที่อยากให้ผู้โดยสารนอน กระจกทั้งหมดก็จะปรับให้กรองแสง แม้ว่าข้างนอกจะสว่างแค่ไหน แต่ก็จะดูเหมือนกับเป็นตอนเย็นอยู่ จนถึงตอนที่จะให้ผู้โดยสารตื่น เขาก็ปรับกระจกทั้งลำให้มันสว่างขึ้นมาได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้โดยสารยังสามารถปรับกระจกของตัวเองได้ด้วยปุ่มอยู่ดีเหมือนกัน

IMG_7839

IMG_7838

สำหรับที่นั่ง คราวนี้เจอที่ชาร์จ USB เพิ่มมาให้ด้วย (ส่วน AC ก็มีเหมือนกัน แต่เห็นว่าหลายๆ ที่เดี๋ยวนี้มีหมดแล้ว) ที่น่าสนใจคือมี Composite-in สำหรับเสียบอะไรก็ตามที่อยากใช้จอที่นั่งเราดูแทนได้ สำหรับจอเป็นไวด์สกรีนแบบสัมผัสได้ แต่ยังเป็นแบบ resistive นะ

IMG_7829

IMG_7840

อย่างเดียวที่อยากจะบ่นกับเที่ยวบินนี้คืออาหาร ไม่เอาอ่าวจริงๆ รอบแรกเป็นแซนด์วิชอย่างเดียว กับรอบสองเป็นขนมปังกับซุป ถือว่าแย่มากเทียบกับเที่ยวบิน 10 ชั่วโมง

IMG_7836

หลังจากนั้นก็วาร์ปมาถึง San Francisco ตอนเวลาประมาณสี่โมงเย็นของวันที่ 19 (เหมือนนั่งไทม์แมชชีนกลับมา) ก็นั่งใช้ Wi-Fi ฟรีที่สนามบินอยู่สักพัก ก่อนที่จะออกเดินทางมาในตัวเมืองโดยนั่งรถไฟ BART มา คุณพระ การที่มาจากญี่ปุ่นที่รถไฟกิ๊บเก๋แล้วมาเจอรถไฟเก่าๆ ห่วยๆ นี่ช่างขัดอารมณ์

พอมาถึงก็เดินไปเจอกับตั้มที่โรงแรม ระหว่างทางเจอ Apple Store ก็แวะเข้าไปฉี่ทับ ก่อนที่จะเจอกับตั้ม ออกมาหาอะไรกิน แล้วก็เป็นอันสิ้นสุดอีกวันหนึ่ง

อาห์… คิดถึงปริมาณอาหารจุใจสไตล์อเมริกันจริงๆ

IMG_7848

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

JP/US 2014 – Day 8

สำหรับวันนี้และพรุ่งนี้เรามีกำหนดการที่จะเที่ยว Tokyo Disney Resort กันครับ โดยที่ในวันนี้จะไป Tokyo Disneyland ก่อน ส่วนในวันพรุ่งนี้ถึงจะไป Tokyo DisneySea ตอนแรกก่อนที่จะมาก็พอคาดเดาไว้แล้วว่า จำนวนคนที่มาน่าจะเยอะกว่าที่เคยมาช่วงเดือนธันวาคมอยู่พอสมควร เลยจะต้องทำเวลารีบมาตั้งแต่เปิด แต่พอมาถึงแล้วก็พบว่า แม่เจ้า! คนเยอะกว่าที่คิดไว้อีกสี่ล้านห้าแสนหกหมื่นเจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเท่า จนกลายเป็นว่ากว่าเราจะซื้อตั๋วจนเข้าไปในสวนสนุกได้ ก็ใช้เวลาปาเข้าไปเป็นชั่วโมงแล้ว

IMG_0827

พอเข้าไปได้ อย่างแรกที่ไปเล่นก่อนเลยคือ Space Mountain โดยจิ้มทั้ง FastPass และต่อแถวไว้ ใช้เวลาต่อคิวประมาณเกือบ 2 ชม. ได้ แล้วตอนที่เล่นเสร็จตอนแรกก็กะว่าจะไปเล่น Big Thunder Mountain Railroad ต่อ แต่ปรากฎว่ามันปิดอยู่ เลยไปเดินๆ ต่อคิว/กด FastPass อย่างอื่นแทน สุดท้ายได้เล่นแค่ Space Mountain 2 รอบ, It’s a Small World, Haunted Mansion, Star Tours, Beaver Brothers Explorer Canoes และ Dumbo Ride (อันสุดท้ายนี่งี่เง่าจริงๆ)

IMG_0847

IMG_0886

IMG_0897

สำหรับของกิน ทีแรกแอบวางแผนไว้ว่าจะลักลอบเอาโอนิกิริเข้าไป แต่พอตอนเช้ารีบๆ เลยไม่ทัน ต้องกินแต่ของแพงๆ ในดิสนีย์แลนด์ แต่ก็แอบประทับใจไอศกรีมแซนด์วิชรูปมิกกี้เมาส์อันนี้เป็นพิเศษ (ราคา 300 เยน จะบ้า)

IMG_0940

จนสุดท้ายพอเรากำลังตัดสินใจว่าจะกลับ ก็เหลือบไปเห็นว่า Big Thunder Mountain เปิดแล้ว และ FastPass ก็หมดเกลี้ยง เลยเดินไปถามพนักงานอย่างมีความหวังว่าตอนนี้ถ้าต่อคิวกี่นาที ได้คำตอบกลับมาว่า 3 ชั่วโมง เลยบายกลับดีกว่า (ก่อนกลับ ขอทิ้งท้ายตามกระแสเซลฟี่)

IMG_0947

หลังจากพอกลับออกมากำลังจะกลับไปที่พักที่ Kanda ก็ค้นพบกับความระทึกใจอีกอย่างคืน เราหาล็อกเกอร์ที่ฝากกระเป๋าไว้ที่สถานี Tokyo ไม่เจอ! ต้องใช้เวลาทำเควสตามหาอีกชั่วโมงกว่าๆ เดินไปเดินมา กว่าจะกลับถึงที่พักและได้กินข้าวเย็นก็ปาเข้าไป 3 ทุ่มได้

เราจึงหมายมั่นตั้งใจว่า พรุ่งนี้จะต้องไม่พลาดอย่างนี้อีกแล้ว!

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

JP/US 2014 – Day 7

วันนี้ในตอนเช้ากำหนดการแรกของเราคือไปที่ Fujiko-F-Fujio Museum ที่เมือง Kawasaki ซึ่งตอนแรกก็แอบแปลกใจว่าทำไมต้องซื้อตั๋วล่วงหน้า และต้องกำหนดวันและเวลาไว้ล่วงหน้าเท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนได้ พอมาถึงก็ถึงบางอ้อว่า เชี่ย! คนเยอะสัด

IMG_0633_2

ระหว่างที่เดินทางไป ต้องมีการเดินผ่านตัวเมืองด้วย ก็รู้สึกว่า เมืองแถวนั้นดูชานเมืองสงบดีมากๆ ให้บรรยากาศในเรื่องโดราเอมอนสุดๆ ไม่ว่าจะถนน บ้านเรือน หรือคูคลองไรงี้ สำหรับตัวพิพิธภัณฑ์เองจะมีเรื่องราวและผลงานต่างๆ ของ Fujiko ซึ่งด้วยการที่เป็นคนที่โตมากับโดเรเอมอน พอได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นที่มาแล้วก็ทำให้รู้สึกขนลุกแปลกๆ ดีเหมือนกัน น่าเสียดายที่ข้างในเขาไม่ให้ถ่ายรูป เลยจะมีแต่รูปจากโซนข้างนอกที่สำหรับให้ถ่ายโดยเฉพาะ

IMG_0643_2

IMG_0650_2

IMG_0747_2

แต่ว่าน่าเสียดายแทนไม่อินเพราะว่าแทนไม่เคยได้อ่านโดราเอมอน แทนเลยขอออกไปก่อน ปล่อยแค่ผมกับกรดูต่อไป จนดูเสร็จก็มาเจอศพที่หน้าพิพิธภัณฑ์

IMG_0752_2

หลังจากนั้นเราก็รีบเดินทางไปที่สถานี Kajikaya เพื่อ Nagomi Cooking Visit เป็นลักษณะของการที่เราไปเยี่ยมบ้านคนที่ญี่ปุ่น แล้วเค้าจะสอนทำอาหาร โดยที่ของที่เราไปจะเป็นทำเบนโตะรูปตัวการ์ตูน Pikachu โดยส่วนใหญ่เขาจะให้เราทำเฉพาะส่วนที่ง่ายๆ หรือเป็นส่วนประดิษฐ์ประดอย อย่างส่วนของทำแผ่นไข่สำหรับห่อข้าวที่ยากๆ อันนี้เขาจะทำไว้ให้

โฮสต์ของเราชื่อ Yuko เป็นคนญี่ปุ่น แต่ว่าแต่งงานกับสามีชาวเวเนซูเอล่า ทั้งสองคนก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ก็สนุกดีทั้งในส่วนการทำอาหาร และส่วนการพูดคุยต่างๆ แต่ก็จะแปลกตาสักหน่อยเพราะภาพจะออกมากลายเป็นชายหนุ่มกลัดมัน 3 คนมางมทำอาหารกัน ขนาดคน Yuko ยังดูจะตื่นเต้นมากถ่ายรูปใหญ่เลย ฮ่าๆ

IMG_0754_2

IMG_0689_2

IMG_0762_2

IMG_0632_2

IMG_0767

หลังจากเสร็จจาก Nagomi Cooking Visit เราก็เดินทางไปเที่ยวที่ Tokyo Dome Attractions เป็นสวนสนุกในเมืองโตเกียวที่ Tokyo Dome ที่เด็ดๆ จะมีโรลเลอร์โคสเตอร์ชื่อ Thunder Dolphin นอกนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องเล่นธรรมดาไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ก็ไปเล่นกันขำๆ ก่อนที่จะกลับที่พักโรงแรมแคปซูลที่ Kanda ก็สิ้นสุดอีกวัน

IMG_0736

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

JP/US 2014 – Day 6

วันนี้ในตอนเช้าก่อนออกจาก Kusatsu ก็แช่ออนเซนอีกรอบ แล้วไปเดินเที่ยวในเมือง จะมีบ่อน้ำพุร้อน Yubatake กลิ่นเหม็นมาก แล้วก็ทานอาหารแถวนั้น เป็นร้านเนื้อย่างที่แอบแพง แต่ก็อร่อยมากเหมือนกัน ก่อนที่จะต้องรีบขึ้นรถบัสเพื่อทีจะให้ทันรถไฟด่วนเที่ยวเดียวกลับมาโตเกียวที่สถานี Ueno

IMG_0521_2

IMG_0527_2

IMG_0566_2

พอมาถึงที่โตเกียวแล้ว กำหนดการในตอนเย็นวันนี้ของพวกเราคือไปที่ Tokyo SEGA Joypolis ที่เป็นส่วนสนุกในอาคารของ SEGA ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเครื่องเล่นหรือเครื่องเกมของ SEGA เอามาให้เล่นกัน ซึ่งเดาว่าส่วนใหญ่ SEGA ทำมาไว้ขายเจ้าอื่นด้วยอีกที มีโรลเลอร์โคสเตอร์แบบต้องยิงผีไปด้วย มีเกมแข่งกรีฑาของโซนิก หรือเกมแข่งรถแบบหมุนได้ 360 องศาด้วยอะไรแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นแนวไฮเทคหน่อยๆ บางเกมเป็นเกมที่เคยเห็นมีเล่นที่เมืองไทยแบบหยอดเหรียญด้วย ซึ่งจากที่เคยมาเมื่อ 4 ปีที่แล้วก็พบว่ามีของใหม่แค่อันสองอันเองมั้งรู้สึก

IMG_0556_2

IMG_0545_2

IMG_0613_2

แต่ของใหม่อันนึงแน่ๆ ที่ครั้งที่แล้วที่มาไม่มีแน่ๆ คือเกมที่โถฉี่ของห้องน้ำฝั่งชาย จะมีเป้าแปะอยู่ ถ้ายิ่งฉี่โดนเป้าได้มากก็จะได้คะแนนอะไรแบบนี้ แถมวัดด้วยว่าฉี่ไปกี่มิลลิลิตร บ้าดี

IMG_0543

อีกอันนึงที่ออกจะฮาๆ คือบ้านผีซาดาโกะ ที่แบบเดินๆ เข้าไปจริงๆ ไม่มีอะไร แต่จะมีซาดาโกะออกมาให้เรากรี๊ดกร๊าดเล่น ซึ่งคิดว่าไม่ใช่บ้านผีที่หวือหวามาก แต่ซาดาโกะโผล่มาทีก็อยากจะหนีไปไกลๆ อยู่ดี

พอเสร็จเล่นจน Joypolis ปิดตอนห้าทุ่มออกมา ตอนแรกตั้งใจว่าจะมาถ่ายรูปกับ Rainbow Bridge แต่เพิ่งมาค้นพบว่ามันไม่เปิดไฟ (จนตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าตกลงมันมีกำหนดการเวลาหรือยังไง) ก็เลยกลายเป็นต้องถ่ายรูปกับ Rainbow Bride แบบแห้งๆ แบบนี้แทน

IMG_0550_2

และสุดท้ายก็ไปพักที่โรงแรมแคปซูลใน Shinjuku เป็นอันจบข่าว

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

JP/US 2014 – Day 5

วันนี้เริ่มต้นโดยการที่เราต้องนัดเจอกับกรที่สถานีโตเกียวในตอนเช้า เพื่อนั่งรถไฟไป Kusatsu ซึ่งเป็นเมืองรีสอร์ทออนเซนที่ติดอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น หลังจากที่เจอกันแล้ว ก็ตัดสินใจว่าจะเดินเล่นอยู่รอบๆ สถานีโตเกียวเพื่อรอรถไฟรอบบ่ายสอง ก็มีการแวะไป Imperial Palace อีกรอบ ก่อนที่จะเดินทางไปกินซูชิ(อีกแล้ว)ที่แถว Tsukiji โดยตอนแรกตั้งใจว่าจะไปทานร้านที่สองที่เราทานเมื่อวันแรก

IMG_0354

ปรากฎว่าระหว่างทางเจอร้านซูชิอีกร้านที่ราคาโดนใจมาก เริ่มต้นที่คำละ 80 เยน ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับลิ้นจรเข้อย่างเราที่ไม่ได้รับรู้อะไรมาก (แต่เห็นแทนบอกว่าสู้ร้านที่จะไปไม่ได้) ก็เลยกินไปซะเกือบ 1,500 เยน

IMG_0362

IMG_0364

หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟไป Kusatsu โดยเป็นการเดินทางที่หลายต่อมาก เริ่มตั้งแต่ชินคันเซน ไปนั่งรถไฟธรรมดา ไปนั่งรถบัส แล้วจบด้วยการเดินไปที่เรียวคังที่จองไว้ เนื่องจากว่านี่จะเป็นเรียวคังเดียวที่เราได้พักตลอดทริป เลยคิดว่าเอาให้ได้บรรยากาศเลยจองไว้แบบฮาล์ฟบอร์ดแต่แรกไปเลย โดยทางเรียวคังคิดค่าอาหารเย็นคนละ 3,600 เยน ทีแรกก็รู้สึกนะว่าแพงมากเหมือนกัน และคิดว่าก็คงงั้นๆ ปรากฎว่า แม่เจ้า เยอะ! เยอะมากจริงๆ เป็นแนวญี่ปุ่นจริงๆ คือจะมีหลายอย่างมากๆ แต่อย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่โดยรวมๆ ก็ถึงว่าเยอะและแน่นมาก ที่คือภาพบรรยากาศสภาพก่อนและหลังสงคราม

IMG_0495

IMG_0384

หลังจากนั้นเราก็ได้ไปแช่ออนเซนของเรียวคัง ซึ่งคราวนี้เป็นครั้งแรกที่จะได้มีโอกาสแช่น้ำที่เป็นน้ำจากธรรมชาติจริงๆ ไม่ใช่แบบอ่างน้ำร้อนแบบตอนพักที่แคปซูล ก็ค้นพบว่ามันร้อนมากเลยพี่ชาย! และรู้สึกได้เลยว่าน้ำลื่นๆ แปลกๆ ไม่ใช่น้ำธรรมดา นอกจากนี้แล้วที่เรียวคังยังมีทั้งบ่อออนเซนแบบอินดอร์และเอาท์ดอร์ เราก็เลยลองแม่งทุกบ่อเลย พบว่าการแช่ออนเซนเอาท์ดอร์นี่ได้บรรยากาศเยี่ยมจริงๆ

IMG_0469

หลังจากแช่ออนเซนกันเรียบร้อย ก็เปลี่ยนชุดเป็นชุดของเขา นั่งเม้าท์มอยกันสักพัก แล้วก็หลับเป็นอันสิ้นสุดอีกวัน

IMG_0288

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

JP/US 2014 – Day 4

จากที่เมื่อวานเรามีการสลับแผน วันนี้ตามแผนการเราจึงตั้งใจว่าจะไปที่ Noritake Garden กันแทน แต่พอตื่นเช้ามา คุณพระ! ฝนตก! จริงๆ ก็พลาดอย่างนึงเพราะตอนมาก็แอบตั้งใจไว้แล้วว่าจะขยันดูพยากรณ์อากาศบ่อยๆ แต่ก็ดันมาพลาดอีวันที่ฝนตกพอดี เลยกลายเป็นว่าไม่ได้ไปไหน นอนอืดอยู่ที่พักยาวจนเกือบเที่ยง แล้วจึงออกมาเพื่อนั่งชินคันเซนกลับโตเกียวเลยทีเดียว โดยแวะทานข้าวที่สถานี Nagoya

IMG_0294

และแล้วก็มีเหตุการณ์ระทึกขวัญเกิดขึ้น ระหว่างที่เรากำลังจะเดินขึ้นรถไฟ เนื่องจากว่าเรามาถึงที่ชานชาลาช้าไปนิดนึง ตอนจังหวะที่เดินขึ้นไปเข้าใจว่าเป็นจังหวะที่ประตูกำลังจะปิด เขาจึงจะไม่ให้เข้า พอเราเดินขึ้นไป ยามก็เป่านกหวีดปี๊ด เสียงดังลั่น ทีนี้ปัญหามันอยู่ที่ว่าแทนเดินเข้าไปก่อน แล้วก็ไม่ได้คิดว่ายามเป่านกหวีดใส่เรา ส่วนตัวผมเองพอได้ยินเสียงนกหวีดก็ติดสตันแล้วก็ไม่ได้ขึ้นต่อ ในทันใดนั้น…

ในทันใดนั้น…

ประตูปิด! อ้าวไอ้เหี้ย! บรรยากาศตอนนั้นเหมือนจุดพลิกฝันที่เรื่องราวกำลังขมวดปมก่อนเข้าสู่ไคลแม็กซ์ ยังกับภาพในละครที่ต่างฝ่ายต่างมองหน้าอีกฝ่ายแล้วประตูรถไฟก็เลื่อนปิด ตัวผมเองเนี่ยไม่เท่าไหร่เพราะคิดว่าน่าจะจัดการได้ แต่โมเม้นท์นั้นหน้าแทนเหวอมาก ก็เลยได้แต่ทำมือพยายามบอกว่าไม่เป็นไรๆ ไปก่อนเลยๆ แล้วในใจตอนนั้นก็คิดแค่ว่าจะหาทางติดต่อแทนอีกทีว่าจะเจอกันที่ไหนอย่างไร

ทีนี้ความตื่นเต้นมันอยู่อีกเรื่องตรงที่ว่า พอชินคันเซนออกไปแล้ว เราก็กำลังอยู่ในโหมดกำลังคิดว่าจะตามไปยังไงดี ก็เลยเพิ่งมาค้นพบว่า อ้าว กระเป๋าใบเล็กของเราดันฝากให้แทนช่วยถือตอนนั้นพอดี ซึ่งในนั้นมี Pocket Wifi และพาสปอร์ตอยู่ คุณพระ! พาสปอร์ต! พอคิดได้เท่านี้แหละเลยยิ่งร้อนรนรู้สึกว่าต้องหาทางกลับมาเจอกันให้เร็วที่สุดให้ได้ และคิดว่ายังไงเจอกันสถานีย่อยๆ ระหว่างทางน่าจะง่ายกว่าการพยายามสื่อสารให้ไปนัดเจอกันที่สถานี Tokyo

ตอนนั้นหลังจากที่การพยายามโทรศัพท์ประมาณ 5 ล้านครั้งไม่เป็นผล เลยต้องตัดสินใจเปิด Data Roaming เพื่อส่ง iMessage ไปถามว่าสถานีต่อไปที่จะลงได้เป็นสถานีไหน แล้วถึงไปนัดเจอกันที่สถานีนั้นแทน โดยผมก็รีบนั่งชินคันเซนคันถัดไปที่มีตามไป แต่จะช้ากว่าเพราะเป็นขบวนที่แวะทุกสถานี จนสุดท้ายกว่าจะไปถึงโตเกียวเลยยิ่งช้ากว่ากำหนดอีกหลายชั่วโมง เพราะกว่าจะไปเจอกัน และกว่าจะรอรถไฟขบวนถัดไป แล้วเสือกมีเหลือแต่ที่เป็นแบบแวะทุกสถานีอีก กว่าจะกลับไปถึงก็เลยค่ำๆ

ในคืนนั้นเราพักที่โรงแรมแคปซูลใน Shinjuku ซึ่งเหมือนว่าจะเป็นเจ้าเดียวกับที่พักที่ Kanda แต่ว่าใหญ่และวุ่นวายกว่ามาก และเรายังค้นพบด้วยว่า ที่นี่ฉายหนังโป๊ด้วยเว้ยเห้ย!

IMG_0307

และก็เป็นการจบวันอันน่าตื่นเต้นอีกหนึ่งวัน

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

JP/US 2014 – Day 3

ในวันนี้ตอนแรกเรามีแผนการที่จะไปเที่ยวสวนสนุกที่ Nagashima Spaland แต่เนื่องจากว่าเมื่อคืนโดนผีหลอก ทำให้กว่าจะได้นอนก็เกือบเช้า กว่าจะตื่นออกมาก็สายๆ แถมอยู่ในสภาพเน่ามากๆ ตอนนั้นเราเลยตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนกำหนดการจากวันที่ 4 มาวันนี้แทน

รายการแรกจึงเริ่มต้นขึ้นที่เราไปที่ Toyota Commorative Museum of Industry and Technology ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ของโตโยต้าที่จะเล่าถึงประวัติเรื่องราวการเติบโตทางธุรกิจและการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ของโตโยต้าตั้งแต่สมัยที่เป็นบริษัทผลิตเครื่องจักรทอผ้ามาจนถึงการเป็นผู้ผลิตรถยนต์

สำหรับค่าเข้าเราซื้อเป็นตั๋วร่วมกับ Noritake Garden ในราคา 800 เยน ข้างในก็จะมีการแสดงประวัติและการพัฒนาเครื่องจักรต่างๆ ทั้งของอุตสาหกรรมและของโตโยต้าเอง ทั้งในส่วนของการทอผ้าตั้งแต่การทำเส้นใยเป็นด้ายไปจนถึงการเอาด้ายมาทอเป็นผ้า และส่วนรถยนต์ที่อธิบายกลไกการทำงานของส่วนประกอบต่างๆ

IMG_0227_2

IMG_0225_3

ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ พนักงานที่เป็นคนให้ข้อมูลที่นี่นอกจากจะน่ารักแล้วยังมีข้อมูลแน่นมากๆ และก็ดูกระตือรือร้นที่จะอธิบาย แม้ว่าจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้มากก็ตาม

และที่พิพิธภัณฑ์นี้ก็มีร้านอาหารอยู่ ตอนแรกก็สองจิตสองใจว่าจะทานดีไหมเพราะกลัวว่าจะแพง แต่สุดท้ายก็พบว่าคุ้มมาก ราคาถูกกว่าที่คิด ยิ่งเทียบกับคุณภาพแล้ว ชุดเสต็กพร้อมขนมปังและสลัดแค่ 900 เยน เลยสรุปได้ว่าจากค่าเข้าที่แสนถูก พนักงานที่แสนดีและเยอะ และอาหารแสนดีแสนถูก เลยรู้สึกว่าพิพิทธภัณฑ์นี้เป็นหน่วยธุรกิจของโตโยต้าที่ไม่ได้เน้นรายได้จริงๆ จังๆ สักเท่าไหร่จริงๆ

ต่อมาเราก็ไปเพ้นท์เซรามิกกันที่ Noritake Garden ตอนแรกสุดเลยเขาก็จะให้เลือกว่าเราอยากจะเพ้นท์บนอะไร เช่นจาน แก้ว แต่ละอย่างก็จะมีราคาไม่เท่ากัน แล้วก็บางอย่างอาจจะเลือกได้ว่าจะเอาแบบที่มีร่างภาพไว้แล้ว ลงสีอย่างเดียว หรือเปล่าๆ ให้ลงเองเลย ผมก็เลยเลือกจานเปล่าๆ มาวาดภาพไม้ตายลงไปตามนี้

IMG_0327_2

หลังจากที่วาดเสร็จ เค้าก็จะเอาไปอบให้เรา แล้วจึงจะส่ง EMS ให้ โดยเราสามารถเลือกว่าจะให้ส่งไปที่อยู่ในญี่ปุ่นได้ฟรี หรือไปที่บ้านเราที่ต่างประเทศเลย โดยที่เราส่งไปที่ประเทศไทยทั้งคู่มีค่าใช้จ่ายรวมที่ 1,900 เยน รวมกับค่าจาน 1,800 เยน เลยตกคนละ 2,750 เยนพอดี ก่อนกลับก็ถ่ายรูปเก๋ๆ ใน Noritake Garden อีกหน่อย

IMG_0269_3

IMG_0275

IMG_0274_2

เสร็จจาก Noritake Garden เราก็ตั้งใจว่าจะไปดู Nagoya Castle แต่ปรากฏว่ากว่าจะเดินทางไปถึงก็ปิดซะก่อน เลยได้แต่ดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ก่อนที่จะไปช็อปปิ้งดูของที่ Osu Street ซึ่งแทนก็โดนไปหลายหมื่นเยน ตั้งแต่นาฬิกา เสื้อ หมวก ก็เป็นอันเสร็จสิ้นวันที่ 3 ที่ Nagoya

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

JP/US 2014 – Day 2

กำหนดการหลักๆ ในวันนี้คือการไปเที่ยว Fuji-Q Highland ที่เป็นสวนสนุกอยู่ใกล้ๆ กับภูเขาไฟฟูจิ การเดินทางต้องขึ้นรถบัสจากสถานี Shinjuku ไป ความพลาดในวันนี้เริ่มต้นที่เราออกเดินทางจากที่พักได้ช้าไปหน่อยเพราะดันตื่นสายและอีดอาดเอง จนทำให้ไปถึง Shinjuku ได้ค่อนข้างช้า ความโง่ต่อมาคือเราไม่ได้จองรถบัสเอาไว้ เพราะเนื่องจากครั้งก่อนที่เคยมาเมื่อ 4 ปีที่แล้วสามารถมาจองหน้างานได้แล้วก็ว่างๆ เลย แต่คราวนี้เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอมหรืออาจะเป็นฤดูกาลเที่ยว ดูเหมือนว่าจะมีคนเดินทางไป Fuji-Q มากกว่าที่คิดไว้ เลยทำให้รอบรถบัสที่ได้เลทออกไปอีก ตอนนั้นเราจึงมีเวลาเดินหาอะไรกินแถว Shinjuku ก็ได้พบกับร้านนี้ ก็อร่อยดีและไม่ค่อยแพง

IMG_0206

จนไปถึง Fuji-Q ประมาณเที่ยงก็ตกใจเพราะคนเยอะกว่าที่คาดหวังไว้มาก แม้ว่าจะแพลนว่าจะมาวันอังคารแล้วก็ตาม เดาว่าน่าจะเป็นช่วงปิดเทอมหรืออะไรสักอย่าง จนทำให้สุดท้ายต้องรอคิวนานมาก และได้เล่นเครื่องเล่นเด่นๆ ของ Fuji-Q Highland ได้แค่ 2 เครื่องจาก 4 เครื่อง คือ Eejanaika กับ Takabisha

สำหรับอันแรก Eejanaika เป็นโรลเลอร์โคสเตอร์แบบที่ที่นั่งจะหมุนได้ 360 องศา บวกกับการตีลังกาหล่นไปมาของรางก็โหดอยู่พอสมควรเหมือนกัน เผื่อใครไม่เห็นภาพขอขโมยภาพมาแปะตามนี้

1

ส่วนเครื่องที่สอง Takabisha เป็นของใหม่ที่ครั้งที่แล้วยังไม่มี เป็นเครื่องเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์ที่ได้ลงประวัติว่าชันที่สุดที่ 121 องศาโดย Guiness World Record ถ้างงว่า 121 องศาเป็นยังไงดูตามรูป (แต่ยังสงสัยว่า แล้วพวกตีลังกานี่มันวัดองศาว่าเกิน 121 ไม่ได้เรอะ)

thrill-seekers-point-at-the-takabisha-with-a-free-falling-angle-of-121-degrees-pic-afp-357174527

ตัวโรลเลอร์โคสเตอร์จะประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นส่วนในอาคารเป็นที่มืด กับส่วนที่สองจะหลุดออกมานอกตัวอาคาร ช่วงแรกจะเป็นแบบใช้แรงดันออกไป จะมีแค่ช่วงหลังก่อนหล่น 121 องศาที่จะเป็นใช้โซ่ลากขึ้นในแนว 90 องศา รถเป็นแบบ 1 คันต่อขบวน 8 คนต่อคัน 2 แถว แถวละ 4 คน มีเวลาเล่นรวมประมาณ 2 นาที

พอเล่นเสร็จกลับออกมาก็จนสวนสนุกปิดพอดี มานั่งคิดเลขดูพบว่าอีห่าราก ถ้ารู้งี้ซื้อแบบแยกเครื่องเล่นไปยังจะถูกกว่าตั้งเยอะ ไม่น่าพลาดซื้อแบบเหมารวมทั้งวันเลย

และเนื่องจากความโง่ที่ไม่จองรถบัสจนกำหนดการในวันนี้เลท เราจึงต้องทำเวลาสุดๆ พอมาถึง Shinjuku เพื่อเหาะไป Tokyo Station ให้ทัน 4 ทุ่ม ซึ่งจะเป็นเวลาที่ Shinkansen ขบวนสุดท้ายที่จะไป Nagoya เป้าหมายต่อไปของเราออกเดินทาง

ตอนที่อยู่ Tokyo ก็หิวมากเพราะไม่ได้กินข้าวเย็น และต้องรีบกินอย่างรวดเร็ว ก็เดินๆ หาแล้วตกลงว่าเจอร้านไหนร้านแรกจะกินเลย ปรากฏไปเจอร้านสเต็กที่หรูหราและอร่อยมาก น่าเสียดายที่เราต้องกระเดื๊อกเข้าไปให้หมดใน 10 นาทีเพื่อให้ทันรถไฟ ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมความอร่อยและความน่ารัก[1]ของพนักงาน

เมื่อไปถึง Nagoya เราก็ไปพักที่บ้านโฮสต์จาก Airbnb ชื่อว่า Koji ซึ่งก็ได้บรรยากาศบ้านบ้านสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ เราได้พักในห้องชั้น 3 ตามภาพนี้ ก็ถือว่าอยู่ได้อบอุ่นดี น่าเสียดายที่กว่าจะไปถึงก็เที่ยงคืนกว่าๆ แล้ว จึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับ Koji มาก

IMG_0320_2

ความน่าตื่นเต้นของการพักที่บ้าน Koji คือในตอนกลางคืนระหว่างที่หลับไปแล้ว อยู่ๆ แทนก็ร้อง “อ๊า…!” ออกมา แว้บแรกผมก็คิดในใจว่าเห้ยละเมออีกแล้วปะวะ เพราะคืนที่แล้วตอนนอนที่แคปซูลก็มีละเมอมาสองสามครั้ง แต่เพื่อความแน่ใจก็เลยถามไปทีนึงว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แทนก็บอกว่ารู้สึกว่าโดนผีหลอก เป็นผีอำ ขยับตัวไม่ได้ แล้วรู้สึกมากๆ ว่ามีคนมาจับที่ไหล่ ซึ่งก็ไม่ใช่ฉันแน่ๆ เพราะก็นอนอยู่ดีๆ แถมไหล่ฝั่งที่โดนจับเป็นอีกฝั่งหนึ่ง หลังจากนั้นแทนก็เล่าสิ่งที่ฝันโดยละเอียดก่อนจะรู้สึกว่าโดนหลอก ไอ้เราก็เหี้ยละ เลยกลัวไปด้วย นอนไม่หลับกันทั้งสองคน สุดท้ายกลัวกันไปกลัวกันมา กว่าจะได้หลับก็ประมาณตี 4 ตี 5 ได้ จะบ้า!

[1] เฉพาะผู้อ่านผู้ชายที่มีรสนิยมชื่นชอบช่องคลอด หรือผู้อ่านที่มีช่องคลอดและชื่นชอบผู้หญิง

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

JP/US 2014 – Day 1

วันนี้จะเป็นวันแรกของการเดินทาง 1 เดือนไปญี่ปุ่นกับอเมริกา โดยที่จะเริ่มจากญี่ปุ่นก่อน ทริปแรกในส่วนของญี่ปุ่นจะมีผู้ร่วมอุดมการณ์อยู่สองคนคือแทนกับกร โดยที่แทนจะเดินทางไปพร้อมกันในคืนวันที่ 9 มีนาคม (เช้า 10 มีนาคม) ส่วนกรจะตามไปญี่ปุ่นเองทีหลังถัดไปอีกหนึ่งวัน

ความตื่นเต้นของการเดินทางเริ่มต้นที่เนื่องจากว่าทั้งผมและแทนจองตั๋วแยกจากกัน เพราะว่าเส้นทางไม่เหมือนกัน ของผมต้องไปเป็นตั๋วแบบไปอเมริกาแล้วแวะพักที่ญี่ปุ่น ในขณะที่ของแทนเป็นตั๋วไปกลับญี่ปุ่นปกติ เราจึงไม่สามารถวางแผนที่จะจองที่นั่งไว้ก่อนได้ เพราะถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้ที่นั่งติดกันที่ติดทางเดิน ก่อนหน้านี้เคยพยายามโทรไปหา JAL แล้ว แต่เค้าบอกว่าเครื่องมันเต็มมาก เลยจองให้ไม่ได้ เลยกะไปรอลุ้นว่า 72 ชั่วโมงก่อนเวลาเครื่องขึ้นปุ๊ปจะรีบเช็คอินเลือกที่ไว้เลย

ปรากฏว่า พอถึงเวลา 72 ชั่วโมงที่ว่า ผมก็รีบล็อกอินเข้าไปเพื่อจะเช็คอินในระบบ ปรากฏว่าแม่เจ้า! เหลืออยู่ 5 ที่ แล้วทั้งหมดดันเป็นแถวหลังสุดของบล็อกติดห้องน้ำ ตอนนั้นเลยคิดว่า เอาวะ รีบไปเช็คอินหน้าเคาน์เตอร์ก็ได้ ตามกำหนดเครื่องออกตี 1 ก็ไปซะตั้งแต่ 2 ทุ่มกว่าๆ ปรากฏพอเข้าไปเช็คอิน พนักงานที่เคาน์เตอร์ก็งงๆ เหมือนมีปัญหาอะไรสักอย่าง สักพักพนักงานอีกคนที่เหมือนว่าน่าจะใหญ่กว่าก็เข้ามา คุยๆ อะไรกันสักพัก แล้วก็ถามขึ้นมาว่า “คุณณัชกับคุณนพวิทย์จะไปทำอะไรกันที่ญี่ปุ่นคะ” แว้บแรกในใจก็คิดขึ้นมาว่า “อีดอกจะเสือกอะไร” แล้วก็ตอบไปว่า “อ๋อ ไปเที่ยวครับ” พนักงานจึงตอบกลับมาว่า “เนื่องจากว่าที่นั่งเต็ม เราเลยต้องอัปเกรดให้เป็น BC นะคะ” พอเราได้ยินแว้บแรกยังงงๆ อยู่ ก็ถามกลับไปว่า “อะไรนะครับ?” “ตอนนี้ที่นั่ง Economy Class ไม่มีที่ว่างแล้ว ทางเราเลยจะย้ายให้ไปนั่ง Business Class ค่ะ” พร้อมกับถามติดตลกว่า “หรือจะไม่เอาคะ?” เอ้า อีห่านี่ก็เอาสิ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้จับพลัดจับผลูนั่ง BC เฉย เก๋ซะไม่มี (แต่ถ้าได้อัปเกรดตอนที่เป็น HND-SFO จะดีใจกว่านี้มาก อันนั้นเป็นเครื่อง 787)

และด้วยบุญวาสนาในชาติปางก่อน ก็เลยทำให้เราได้มีโอกาสนั่ง BC กับเขาบ้าง มีซูชิในจานปกติให้กิน ขวดโชยุน่ารักเชียว ที่ฟินสุดมันอยู่ที่ว่า ที่นั่งมันทำเป็นเตียงราบได้เนี่ยแหละ (ถึงอยากได้เป็นขา HND-SFO ที่นานกว่านี้)

Image

ข้ามเวลามาในตอนเช้า พอมาถึงที่ NRT ตามแผนการเดิมเราก็ตั้งใจว่าจะไปดูสวนสตรอเบอร์รี่ที่ชิบะเพราะใกล้นาริตะอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเปลี่ยนแผนกันว่าเข้าโตเกียวเลยแล้วกัน เพราะถ้าขากลับไม่ได้นั่ง Narita Express จะใช้เวลาพอสมควรกว่าจะกลับถึงโตเกียว (เสียดายเวลา) จากไร่สตรอเบอร์รี่เลยกลายเป็น Ginza และตลาดปลา Tsukiji แทน

ตรงนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ นอกจากว่าได้ชิมลมชมบรรยากาศ แวะเข้าไปสักการะ Apple Store แล้วก็เดินไปต่อถึงที่ Tsukiji ระหว่างทางก็เจอร้านซูชิประปราย แต่ด้วยความที่เราคิดว่า เห้ย ไปกินตรงตลาดน่าจะถูก/สดกกว่าน่า ก็เลยข้ามๆ ไป ทีแรกก็นึกว่าจะได้ไปลองกินซูชิร้านดังที่ชื่อว่าซูชิไดอะไรนั่น แต่พอไปถึง คุณพระ! แถวยาวยังกับจู๋ภูวัน แม่งยัดกัญชาแทนวาซาบิหรืออะไร เลยตัดสินใจเดินๆ ดูร้านอื่นใกล้ๆ ที่ว่างๆ แทน (ซึ่งดูไปดูมาก็น่าสงสารนะ แบบ ร้านอยู่ติดๆ กัน และว่าง แต่คนก็ยังอุตสาห์จะต่อแถวกินอีกร้าน โถ…)Image

สุดท้ายเราก็ตัดสินใจมาร้านนี้ ก็กินไปคนละชุดเพราะง่ายดีไม่ต้องสื่อสาร ก็กินไปกะว่าจะยังไม่เอาอิ่ม กะกินเรื่อยๆ ลองหลายๆ ที่ดีกว่า พอกินเสร็จจ่ายเงินออกมา ก็มาเดินดูร้านอื่นรอบๆ ตลาดก็ยังไม่เจอร้านที่โดนใจและโดนเงินในประเป๋า จนแทนบอกว่า งั้นเรากลับไปกินร้านนอกตลาดที่เดินผ่านมาดีกว่า เพราะคิดเลขแล้วบางเมนูยังถูกกว่าด้วยซ้ำ ก็เลยเดินกลับมาร้านนี้

เข้าไปแล้วได้ดูเมนูละเอียดๆ อีกทีแล้วก็พบว่า โว๊ะ ถูกกว่าร้านโทรมๆ ในตลาดอีก แต่สุดท้ายผมเองก็สังอีกนิดเดียวเพราะเริ่มเสียดายเงิน ไม่ค่อยรับรู้ความแตกต่างของซูชิแบบต่างๆ เท่าไหร่ เลยปล่อยให้แทนมีความสุขกับซูชิพวกนั้นไป จบ เรียบร้อย ก็ไปต่อที่ Imperial Palace ที่อีกด้านของสถานีโตเกียว แวะถ่ายรูปสักนิด แล้วก็ตัดสินใจไปชมวิวพระอาทิตย์ตกที่ Yokohama ซึ่งต้องนั่งรถไฟไปอีกสักพัก เป็นอันจบรายการในวันนี้

Image

ที่เซอร์ไพรส์ต่อมาคือ กรที่เดิมจะต้องมีกำหนดการเดินทางมาถึงในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า ต้องเลื่อนการเดินทางอย่างกระทันหันด้วยอุบัติเหตุทางการศึกษา เลยกลายเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการในช่วงวันกลางๆ อย่างยิ่งยวด (ติดตามตอนต่อไป)

สุดท้ายในวันนี้เราก็ไปพักที่โรงแรมแคปซูลใน Kanda ซึ่งจะเป็นที่พักหลักของเราในโตเกียวตลอดทริป ด้วยเหตุผลที่ว่ามันถูกมาก แม้ว่าจะถูกกว่าโฮสเทลไม่มาก ได้แต้มกับเว็บที่ใช้จองคุ้ม (เหยื่อการตลาด) ก็เป็นอันจบวันแรกไปด้วยดี

หมายเหตุ: อันนี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง