Three times four is twelve.

จริงๆ กะจะแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ตั้งแต่เขาโพสท์กันใหม่ๆ แล้ว แต่ก็ลืมไป จนดราม่าออกมาบนเว็บดราม่าก็เลยนึกขึ้นได้ ขอดราม่าอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้งละกัน

เรื่องนี้ต้องแยกออกเป็นสองประเด็น เรื่องการกระทำของครู กับเรื่องกระแสของสังคมที่มีกลับมา

อย่างหนึ่งที่คงต้องยอมรับกันก่อนว่า ในทางนิยามของคณิตศาสตร์ 4×3 มันไม่เหมือนกับ 3×4 จริงๆ ซึ่งในคอนเมนต์ท้ายสุดที่เว็บดราม่าฯ เอามาใส่ไว้ก็ชี้แจงได้ค่อนข้างชัดเจนถึงที่มาที่ไป ตอน ป.2 ที่เริ่มเรียนเรื่องการคูณเองผมก็จำได้ว่ามีปัญหาในลักษณะนี้เหมือนกัน ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมการคูณถึงต้องนิยามให้ขัดกับหลัก common sense สามัญสำนึก แต่ตอนนั้นอาจจะเพราะยังเด็กไปก็เลยยังไม่ได้ตั้งคำถามอะไรมากมาย จนโตๆ มาถึงจะพอเข้าใจได้ว่าคณิตศาสตร์มันอยู่บนพื้นฐานของการนิยาม ดังนั้นมันเลยต้องตั้งต้นว่าต้องนิยามให้เหมือนกันก่อน แต่ถ้าอะไรจะได้ผลลัพธ์เท่ากับอะไรก็ต้องไปพิสูจน์กันก่อน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ดังนั้นปัญหาของเรื่องนี้ที่ใหญ่ที่สุดนอกเหนือจากการที่ครูเองไม่มีบรรทัดฐานแล้วให้ข้อหนึ่งผิดข้อหนึ่งถูกทั้งๆ ที่ใช้นิยามเดียวกันแล้ว ยังเป็นเรื่องที่ว่าครูไม่สามารถอธิบายหรือสื่อสารให้นักเรียนเข้าใจได้ว่าความผิดนี้เกิดจากอะไร และผิดในจุดไหนของกระบวนการทางคณิตศาสตร์ทั้งหมดที่จะนำไปสู่คำตอบ แม้ว่ามันจะได้ผลลัพธ์เท่ากันก็ตาม

แต่สิ่งที่น่าละเหี่ยใจกว่า คือสารพัดผู้คนที่เข้ามารุมวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะที่ว่า “ก็มันเท่ากัน ครูให้ผิดได้อย่างไร” ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลิตผลของความล้มเหลวทางการศึกษาคณิตศาสตร์ที่ทำให้นักเรียนมุ่งเน้นแต่ผลลัพธ์โดยไม่สนใจกระบวนการที่มาที่ไปของเหตุและผลทางคณิตศาสตร์ ทั้งๆ ที่ความมหัศจรรย์ของคณิตศาสตร์มันอยู่ที่กระบวนการและนิยามต่างๆ มากมายที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในศาสตร์อื่นๆ ได้ แต่การเรียนคณิตศาสตร์แบบคิดเลขเร็วและขืนใจให้ทุกๆ คนเรียนอย่างไม่มีทางเลือกก็ทำลายความงดงามนี้ไปหมดสิ้น

ที่จะเหลืออยู่ ก็คงมีเพียงความเกลียดชังที่มีต่อคณิตศาสตร์จากประสบการณ์เลวร้ายที่ฝังเป็นแผลลึกในใจของผู้คนตลอดไป

Political Depression

วันนี้รู้สึกหมองๆ เป็นพิเศษ จะทำงานทำการอะไรก็ไม่มีกะจิตกะใจสักเท่าไหร่

จะว่าไปผมก็ออกจะเป็นคนที่ sensitive อ่อนไหวเกินไปเสียอยู่เหมือนกัน โดยส่วนตัวผมเองจะเป็นคนไม่ค่อยชอบความขัดแย้ง (จะว่าเป็นพวกโลกสวยตามนิยามสลิ่มของ คำ ผกา ก็ไม่ปาน ถึงชีวิตจะมีเรื่องขัดแย้งกับชาวบ้านเยอะก็เถอะ)

เพราะงั้น เวลาบรรยากาศบ้านเมืองร้อนๆ ขึ้นมาทีไร ก็จะรู้สึกซึมเศร้า เบื่อๆ เซ็งๆ ไปด้วยเสียทุกที อย่างตอนที่เสื้อเหลืองปิดสนามบิน หรือเสื้อแดงยึดราชประสงค์ ก็จะรู้สึกซังกะตายไม่อยากลุกจากเตียงเป็นสัปดาห์ๆ

จริงๆ ช่วงที่ผ่านมาก็เริ่มกรุ่นๆ มาสักพักแล้วตั้งแต่ดราม่าโรเล็กซ์ของเลดี้กาก้า ประมาณว่าตื่นมาเปิดทวิตเตอร์ก็เจอแต่ทวีท (และรีทวีท) ด่าคนด่ากาก้า ถึงด้วย logic ตรรกะเราจะรู้สึกว่าเข้าใจได้ที่คนจะแสดงความคิดเห็นออกมาแบบนั้น แต่พอเห็นเยอะๆ มันก็ทำให้ใจขุ่นๆ แปลกๆ (ย้ำว่าโดยส่วนตัวไม่ได้มีปัญหากับการแสดงความคิดเห็นนะครับ ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับคนที่แสดงความคิดเห็น แค่ว่าเห็นอะไรแบบนี้เยอะๆ มันทำให้ตัวเองรู้สึกหม่นๆ ไปมากกว่า)

พอมาวันนี้ตั้งแต่เช้าเรื่องประชาไท มาจนถึงรังสิมาขอแชร์นะคะ ก็เลยยิ่งฉุดอารมณ์ให้ down ตกลงไปอีก (ย้ำเหมือนเมื่อกี๊อีกทีว่าเคารพและให้เกียรติการแสดงความคิดเห็น แค่เห็นอะไรแบบนี้เยอะๆ แล้วใจหม่นไปเอง)

จริงๆ เรื่องนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอยากจะโทษใครเท่าไหร่ เพราะดูจาก form ท่าที่แล้วก็เหมือนจะเป็นปัญหาที่ตัวเองมากกว่า จนบางทีก็เซ็งๆ ที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้เหมือนกัน (แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจซะ)

เฮ้อ…