JP/US 2014 – Day 20

วันนี้ในตอนเช้าเรามาทานอาหารเช้าที่ร้านอาหารอีกรอบเพราะต้องการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อดิ้นรนเรื่องที่พักในคืนนี้อีกครั้ง โดยก็พยายามติดต่อ Airbnb อีกหลายๆ ที่ (หาข้ออ้างมาก ฮ่าๆ จะได้ไม่ต้องทำเอง)

IMG_8195

IMG_8196

หลังจากนั้นก็เริ่มออกเดินทาง โดยก่อนที่จะไปถึง Las Vegas เราก็ไปแวะที่ Hoover Dam ก่อน ถ่ายรูปเล่นๆ สองสามรูป แวะทานข้าวเย็นที่ Boulder City ไปร้านอาหารตามที่ Yelp แนะนำ ถูกมาก แถมใส่ซุปมาในกระปุกจาร์ แปลกดี

IMG_8199

IMG_8205

IMG_8211

IMG_8212

ระหว่างเดินทางพอเริ่มมีสัญญาณ ตั้มก็ปฏิบัติการหาที่พักต่อไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราก็ได้ที่พักของครอบครัว Augusta เป็นครอบครัวแสนสุข มีประดับไฟหน้าบ้านด้วย ตอนกลางคืนก็ออกไปเที่ยวบาร์ ไปเดินเล่นที่ Fremont Street แล้วก็ไปทาน IHOP 24 ชั่วโมงมื้อดึก กลับมานอน อ้วน จบ

IMG_8222

IMG_8223

IMG_8224

JP/US 2014 – Day 18

วันนี้กำหนดการของเราคือการเดินทางต่อไปยัง Grand Canyon โดยมีแผนที่จะค้างคืนที่ Grand Canyon 2 คืน ซึ่งจะมีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นอีก การพักแคมป์กราวน์ที่เมือง Page เมื่อคืนเลยเป็นเหมือนแบบฝึกขั้นต้นให้รู้ว่าปัญหาจะมีอะไรบ้าง แล้วจะแก้ยังไง

ปัญหาใหญ่ที่เจอคือเรื่องของอากาศหนาว ก่อนออกจากเมือง Page เราจึงตัดสินใจใช้เงินแก้ปัญหาซื้อถุงนอนกันมาอีกคนละใบ
หลังจากนั้นเราก็ขับรถอีกนานพอสมควรกว่าจะมาถึง Grand Canyon โดยมีเป้าหมายที่จะพักที่ Mather Campground โดยก่อนถึงเราแวะที่ Desert View Watch Tower ก่อนด้วย

IMG_8141

IMG_8134

จนพอมาถึงที่แคมป์กราวน์ก็เกือบมืดแล้ว ก็เลยรีบทำอาหารโดยเมนูเป็นเบคอนทอดให้อ้วนตายกันไปข้างหนึ่ง ครั้งนี้เรายังมีการอัปเกรดสกิลโดยมีการจุดไฟเพิ่มขึ้นด้วย แล้วก็ปิ้งมาร์ชเมลโลวกินกันเพื่อเพิ่มความอ้วนขึ้นไปอีก โดยวันนี้ผมยังคงนอนด้านหลังเหมือนเดิม แต่เพิ่มมีถุงนอนขึ้นมา

IMG_8151

IMG_8154

หลังจากนอนไปได้สักพัก ก็ต้องตื่นขึ้นมาอีก เพราะพบว่าถุงนอนเอาไม่อยู่! เหตุนึงน่าจะเป็นเพราะ Grand Canyon ก็ยิ่งหนาวขึ้นกว่าที่ Page เพราะสูงกว่ามากด้วย สุดท้ายพอถึงจุดหนึ่งก็ต้องเปิดฮีตเตอร์อีกอยู่ดีเหมือนเดิม จึงจะผ่านพ้นคืนที่เหน็บหนาวไปได้

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

JP/US 2014 – Day 17

วันนี้ความตื่นเต้นที่สุดเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เรายังไม่ตื่น เมื่ออยู่ๆ เราก็ได้ยินเสียงเตียงขย่มจากข้างบน ขุ่นพระ ไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องแบบนี้กับตัว วันนี้เลยกลายเป็นว่าได้ตื่นเช้าโดยไม่ตั้งใจ

กำหนดการในวันนี้เราจะต้องเดินทางไปพักที่แคมป์กราวนด์ที่เมือง Page รัฐ Arizona ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 – 8 ชั่วโมง ซึ่งจะถือว่าเป็นการพักแคมป์ปิ้งครั้งแรกในทริปครั้งนี้ ในวันนี้เราจึงต้องใช้เวลาในการเตรียมการหลายๆ อย่างด้วยเหมือนกัน

ซึ่งด้วยความมักง่ายของเรา เราก็เลยกะว่าจะไปตายเอาดาบหน้า ทุกอย่างไปซื้อเอาที่เมือง Page แล้วกัน ระหว่างทางก็ถ่ายรูปเล็กน้อย

IMG_8090

ปรากฎว่ากว่าเราจะเดินทางไปถึงก็ค่อนข้างเย็นแล้ว การทำเควสหาของต่างๆ ของเราจึงต้องเป็นการแข่งกับเวลาอย่างยิ่งยวด เริ่มจากปัญหาใหญ่อย่างแรกคือเราพยายามจะหากระป๋องแก็ส Butane เพื่อใช้กับเตากระป๋องที่เราอุตสาห์ขนไปด้วย ตอนแรกไปดูที่ Safeway ปรากฎว่าไม่มี เลยคิดว่าไปดู Walmart แล้วกันเผื่อมี เราก็ต้องขับรถไปอีกประมาณ 3 ไมล์ พอไปถึง Walmart ก็พบว่ามีป้ายราคา แต่ที่ชั้นวางไม่มีของ ก็ต้องตามหาพนักงานมาให้ช่วยเช็คสต็อก พอพบว่าไม่มี พนักงานก็แนะนำให้ไปร้านขายของชำที่อยู่ใกล้ๆ Safeway อีกร้านหนึ่ง พอถึงตอนนี้เราเริ่มรู้ตัวว่าเวลาเหลือน้อยเต็มที เพราะห้างปิด 2 ทุ่ม เราจึงต้องรีบออกตัวด้วยความเร็วระดับ Initial D เหาะกลับไปแถว Safeway เพื่อไปร้านที่พนักงานแนะนำมา ปรากฏอ้าวห่าราก ร้านปิดไปแล้วตั้งแต่หกโมง เอาวะ ยอมซื้อ Propane กฤษษี่สไตล์แล้วก็ได้ เลยเดินไป Safeway เพื่อจะไปซื้อ ปรากฏว่าอ้าวเหี้ยหัวเตาหมดอีก เราจึงต้องรีบออกตัวระดับ Initial D กลับไป Walmart อีกรอบเพื่อซื้อเตา

พอได้อุปกรณ์และวัตถุดิบต่างๆ ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เราก็รีบไปเช็คอินที่แคมป์กราวด์ แล้วก็เริ่มทำอาหาร ซึ่งกว่าจะได้เริ่มทำก็มืดเสียแล้ว และที่สำคัญ ลมแรงมาก! เลยต้องทอดหมูสู้ลมกันอยู่อย่างนั้นแบบจะตาย ใช้เวลาประมาณ 20 นาที เราก็ได้มื้อเย็นของเรา

IMG_8111

IMG_8118

พอถึงตอนนั้น เราก็เหนื่อยเกินกว่าจะทำห่าอะไรต่ออีกแล้ว ก็ตัดสินใจว่าจะนอนเลย ก็เลยไปอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยเตรียมนอน
แผนการนอนของเราก็คือ เราจะไม่ใช้เต็นท์ แต่จะนอนในรถเอาเลยเพราะมีแค่สองคนโดยที่ตั้มนอนที่ที่นั่งข้างคนขับปกติ แต่ผมย้ายกระเป๋าไปข้างหน้าแล้วนอนราบที่ด้านหลังแทน ค้นพบความเก๋ไก๋อย่างนึงของ Prius (หรือรถ Hatchback ทรงยาวใดๆ) คือถ้าปรับเบาะด้านหลังพับลงมาให้นอนยาวได้ แล้วนอนหันหัวไปทางด้านหลัง ก็จะสามารถนอนดูดาวได้อย่างกิ๊บเก๋ยูเรก้า โรแมนติกซะไม่มี ถ้ามากับแฟนจะเก๋มาก

หลังจากนั้นก็เผลอหลับไป แต่สุดท้ายก็ต้องตื่นขึ้นมากลางดึก และพบว่าหนาวมาก! หนาวเกินกว่าที่ทีแรกคิดว่าจะใช้ชุดกันหนาวอย่างเดียวพอได้ สุดท้ายเลยจำใจต้องเผาน้ำมันมากลายเป็นความร้อนโดยการเปิดเครื่องยนต์แล้วก็เปิดฮีตเตอร์โดยแง้มกระจกไว้นิดนึงกันตาย พบว่าเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่เปลืองน้ำมันเท่าไหร่ คงเพราะเป็นรถไฮบริดด้วย เวลาที่อุณภูมิโอเคแล้วรถก็จะดับไปเอง พอจะต้องปั่นความร้อนใหม่เครื่องยนต์ก็ติดใหม่เอง ใช้ได้ๆ

และเราก็ผ่านพ้นความเหน็บหนาวไปได้อีกหนึ่งวัน

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

JP/US 2014 – Day 15

วันนี้เป็นวันที่เดินทางโหดที่สุดอีกหนึ่งวัน เพราะต้องเดินทางจาก South Lake Tahoe ข้ามรัฐ Nevada ไปยัง Salt Lake City ที่ Utah ซึ่งมีระยะทางรวมประมาณ 800 กว่ากิโลเมตร ที่โหดร้ายที่สุดคือ ต้องเดินทางให้จบภายในหนึ่งวัน โดยมีคนขับเพียงคนเดียว ไม่มีตัวแสดงแทน

IMG_8030

ในตอนเช้าเราตัดสินใจออกเดินทางตั้งแต่เวลาประมาณตี 4 ค่อยๆ ขับรถมา ซึ่งจริงๆ แล้วทางที่ขับส่วนมากไม่ได้ยากอะไร เพราะถนนก็ดี และไม่ได้มีความซับซ้อนชวนหลงอะไร แต่เพราะมันไม่มีอะไรเลยทำให้ความยากอยู่ที่การจะพยายามไม่ให้หลับ แผนการขั้นต้นตอนแรกจึงเริ่มจากการหาเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนกิน เนื่องจากว่าเป็นคนไม่กินกาแฟ เลยหาพวกโซดาที่มีคาเฟอีนนิดหน่อยมา ปรากฎว่าไม่เป็นผล จึงตัดสินใจอัปเกรดเป็นกาแฟดีกว่า

ด้วยความที่ไอ้เราก็ไม่ใช่คนทานกาแฟ ไม่รู้เรื่องห่าเหวอะไรกับกาแฟเลย เลยต้องเมสเสจถามกอล์ฟให้ช่วยเขียนรหัสลับ Starbucks ที่จะสั่งกาแฟอะไรสักอย่างมาให้ ที่มีเงื่อนไขว่าให้คนที่ไม่ชอบรสขมของกาแฟอย่างตัวฉันเองสามารถพอจะแดกเข้าไปได้

ผลคือ…ไม่สำเร็จ!!! ยังง่วงอยู่ดี สุดท้ายการขับจึงจำเป็นต้องมีการแวะพักบ่อยมาก หลายๆ ครั้งแวะเพื่อคิดว่าจะงีบหลับ แต่พอหยุดรถก็หายง่วงซะงั้น ก็ขับใหม่ พอเริ่มขับก็ง่วงใหม่ เยี่ยมค่ะ! บรรลัยมันเข้าไป
จริงๆ ที่น่าสงสารกว่าคนขับ คือคนที่นั่งมาด้วย เพราะกลายเป็นว่าก็หลับไม่ได้ และต้องพยายามทำให้คนขับไม่หลับ คอยชวนคุยเรื่องนั่นเรื่องนี้จนไม่รู้จะขุดเรื่องห่าเหวอะไรมาคุย แถมบางเรื่องไม่น่าสนใจพอคุยไปก็ง่วงอยู่ดีอีก จนกระทั้งประมาณ 300 กิโลเมตรสุดท้าย เราก็ค้นพบสูตรลับ!

Screen Shot 2014-04-11 at 3.38.03

นั่นคือการคุยเรื่องเซ็กซ์! ได้ผลเกินคาด ตาสว่างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พับผ่าเถอะ ยิ่งกว่าแดกยาบ้าห้าล้านมิลลิกรัม จำได้ว่าช่วงแรกทำให้ระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตรหายไปไวอย่างกับเอาน้ำมาล้างออก ส่วนช่วงหลังเริ่มช้าลงเพราะเริ่มจะหมดเรื่องเซ็กส์จะคุยกันแล้วเหมือนกัน แต่ก็ต้องขอขอบคุณตั้ม ณ โอกาสนี้ที่พยายามขุดเรื่องมาคุย จนสามารถเดินทางถึง Salt Lake City โดยสวัสดิภาพ

IMG_8038

เมื่อถึงแล้ว ในวันนี้เราจะพักกับโฮสต์ Airbnb ชื่อว่า Scott ความเร้าใจก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเราหาบ้านของ Scott ไม่เจอ! ประเด็นคือเรารู้ที่อยู่ และคีย์ที่อยู่ลงแผนที่แล้วก็ได้จุด แต่พอเราไปที่จุดแล้วเราหาบ้านเลขที่นั้นไม่เจอ วนไปวนมาอยู่หลายรอบ จนกระทั้งเราพบกว่าคุณ Scott ผู้น่ารักของเรา เขียนบ้านเลขที่ไว้ที่บันไดบ้าน

บันไดบ้าน!!! อีห่าราก เป็นเหตุผลที่เราหาบ้านเลขที่นั้นไม่เจอ แม้ว่าจะขับผ่านประมาณ 75 ล้านรอบแล้วก็ตาม
เมื่อมาถึงก็ไม่มีใครอยู่ แต่เราเข้าได้ด้วยรหัสผ่านที่ Scott ให้ไว้ก่อนหน้า เข้าไปก็เจอกับแมว 2 ตัว แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจของบ้านนี้คือ หลังบ้านมีสวนปลูกผักเลี้ยงไก่ นี่มันบ้าน The Sims ชัดๆ โดยมี Brent รูมเมทของ Scott ที่มีสกิล Gardening เต็ม 10 ปลูกผักอยู่หลังบ้าน

IMG_8040

ในตอนเย็นเราก็ไปซื้อของกึ่งสำเร็จรูปที่ซุปเปอร์ฯ ใกล้บ้าน แล้วเอากลับมาทำที่ครัวที่บ้าน ก็จบไปอีกหนึ่งวัน

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

JP/US 2014 – Day 11

วันนี้ก็มีกำหนดการที่จะไปเที่ยวเป้าหมายส่วนตัวต่างๆ ที่อยู่ทางตอนใต้ของ San Francisco โดยเป้าหมายทั้งหมดล้วนแล้วแต่ต้องขับรถไป ตอนนี้เลยเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสลองใช้บริการ Hertz 24/7

ลักษณะของ Hertz 24/7 คือการเช่ารถรายชั่วโมงแบบคิดเหมารวมน้ำมันไปเลย แล้วเราสามารถที่จะเอารถแล้วก็คืนรถเมื่อไหร่ก็ได้ด้วยตนเองเลย ไม่ต้องใช้คนมาบริการ ขั้นตอนแรกคือเราจะต้องสมัครเป็นสมาชิกเพื่อผูกบัตรเครดิตและใบขับขี่เราก่อน โดยในขั้นตอนนี้ยังจะต้องไปที่ศูนย์ Hertz ก่อน หลังจากที่เขาตรวจสอบยืนยันบัตรเครดิตและใบขับขี่เรียบร้อยแล้ว เขาจะให้แท็ก RFID แบบนี้มาเป็นของเรา

IMG_8029

หลังจากนั้นเราก็ทำการจองรถโดยเลือกสถานที่รับ/คืนรถ และเวลาที่ต้องการรับ/คืน แล้วเขาจะมีรายการให้เราเลือกว่ามีรถรุ่นไหนให้เลือกบ้าง และราคาเท่าไหร่ โดยราคาจะคิดเป็นต่อชั่วโมงโดยรวมค่าน้ำมันแล้ว ถ้าน้ำมันหมด เราสามารถใช้การ์ดในรถเติมน้ำมันได้ฟรี

หลังจากที่เราเลือกรถแล้ว พอใกล้ถึงเวลาประมาณ 15 นาทีก่อนรับรถ ก็จะมีอีเมลมาแจ้งรุ่น สี และป้ายทะเบียนของรถที่เราจอง โดยรถจะจอดอยู่ที่จุดจอด Hertz 24/7 ที่เราเลือกไว้ เราก็เอาแท็ก RFID ที่ได้มาไปแปะหน้ารถ รถก็จะเปิดล็อกให้เราเข้าไปได้ โดยกุญแจรถจะอยู่ในรถอยู่แล้ว แล้วก็สามารถขับออกไปได้ทันที หลังจากนั้นพอตอนเราจะคืนรถ ก็แค่ว่าเอารถกลับมาจอดที่ที่กำหนดไว้ แล้วเก็บของออกให้เรียบร้อย ทิ้งกุญแจรถไว้ในรถ แล้วก็เอา RFID ของเราแปะหน้ารถอีกครั้ง รถก็จะล็อก ก็เป็นอันเรียบร้อย

ในวันนี้เป้าหมายแรกที่ไปคือบ้าน Steve Jobs ที่ Palo Alto ก็ได้ไปถ่ายรูปที่หน้าบ้านสักรูปสองรูป ในจังหวะนั้นเอง ก็มีรถ BMW สีบรอนซ์ทอง เป็นผู้หญิงขับ แล้วก็มีเด็กผู้หญิงนั่งอยู่อีกคนขับเข้ามา กรี๊ด! หนีแทบไม่ทัน ดีนะไม่โดนด่า (แค่เค้าอาจจะชินแล้วมั้ง)

IMG_7854

ต่อจากนั้นเราก็ไปต่อที่ Mountain View โดยไปถ่ายรูปกับหุ่นแอนดรอยด์ แล้วก็ไปทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารไทยในดาวน์ทาวน์

IMG_7866

แล้วก็สิ่งที่ขาดไม่ได้ เราก็ต้องไปที่ Cupertino เพื่อไปถ่ายรูปกับป้าย 1 Infinite Loop และแวะ Apple Company Store ซึ่งจะเป็นร้านที่ขายของที่ระลึกเช่นเสื้อผ้า แก้ว ปากกา สมุด บลาๆ ตราแอปเปิลทั้งหลายแหล่ สุดท้ายก็โดนเสื้อไป 2 ตัว

IMG_7869

IMG_7875

ขากลับ เนื่องจากว่าเวลายังเหลืออยู่เล็กน้อย เลยตัดสินใจว่าจะขับผ่าน Stanford กินลมชมบรรยากาศ จริงๆ เกิดความระทึกครั้งนึงใน Stanford เมื่อเผลอเลี้ยวขวาแล้วชิดซ้าย คนที่ขับมาอีกคนชูนิ้วด่าด้วย แต่ถึงงั้นก็ได้เจอวิวสวยๆ ถือว่าชดเชยกันได้

IMG_7880

หลังจากนั้นก็ขับกลับมา San Francisco เพื่อเอารถมาคืน ก่อนที่จะเดินไปชมวิวดูบรรยากาศที่ Pier 39 (อารมณ์คล้ายๆ เพลินวาน + Asiatique) ก่อนที่จะเผ่นไปทานข้าวเย็นที่ China Town เพราะอยากประหยัด ก็เป็นอันสิ้นสุดการเที่ยวในวันนี้ที่ San Francisco

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

Sleepless Society

สวัสดีกระบี่

กระบี่เป็นจังหวัดที่ผมเคยคิดมานานแล้วว่าอยากจะมาให้ได้สักครั้ง เพราะเป็นจังหวัดที่ตั้งแต่เด็กๆ เวลาทำแผ่นพับท่องเที่ยววิชาสังคมก็จะเลือกจังหวัดกระบี่ทุกๆ ครั้ง จนเหมือนจะรู้จักสถานที่ท่องเที่ยวของกระบี่มากมาย แต่จนแล้วจนรอดในชีวิตก็ยังไม่เคยได้มีโอกาสมาถึงกระบี่เลยสักครั้ง มาตอนนี้สบโอกาสต้องการหนีไปที่ไหนสักพัก กระบี่ก็แว้บขึ้นมาในหัว ก็เลยตัดสินใจขับรถมากระบี่เสียเลย

ครั้งนี้เลยถือว่าเป็นประสบการณ์การขับรถข้ามประเทศและข้ามคืนเป็นครั้งแรก ซึ่งก็เหนื่อยและสนุกกว่าที่คิดอยู่มาก อย่างนึงที่อดประทับใจเล็กๆ คือเหล่าบรรดาผู้ร่วมทางยามค่ำคืนที่เกือบทั้งหมดจะเป็นรถบรรทุก ที่ผ่านมาก็จะรู้สึกอคติเล็กๆ กับรถกลุ่มนี้อยู่แล้ว แต่พอได้ต้องมาสัมผัสอยู่นานๆ หลายๆ ชั่วโมงบนท้องถนนที่ไม่มีอย่างอื่นเลยก็ทำให้รู้สึกเห็นอะไรในมุมใหม่ๆ ได้เรียนรู้ภาษาสัญญาณไฟแปลกๆ ที่คงไม่ได้มีในตำราสอบใบขับขี่ และก็ทำให้รู้สึกได้ถึงว่า เอาเข้าจริงๆ คนกลุ่มนี้ก็ดูจะห่วงใยผู้ร่วมทางมากกว่าที่คิดเหมือนกันนะ

สรุปสุดท้ายผมใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 18 ชั่วโมงในการเดินทางกว่าจะถึงกระบี่ (เป็นเวลาที่ขับรถจริงๆ น่าจะประมาณ 14 ชั่วโมง ซึ่งก็น่าจะถือว่าช้าพอสมควรแต่ก็ขับไม่เกิน 90 กม./ชม. มาตลอดทาง)

ตอนนี้ผมก็คงจะใช้เวลาอยู่ที่นี่สักพัก และหวังว่าจะเจอคำตอบของคำถามบางอย่าง ที่กำลังค้นหาอยู่ก็เป็นได้