And my very first vote goes to…

ไม่ไหวแล้ว!

ที่ผ่านมา หลายๆ คนรอบๆ ตัวผมคงจะพอทราบดีว่า ในชีวิตนี้ผมยังไม่เคยไปเลือกตั้งแม้แต่ครั้งเดียว แม้่ว่าจะมีสิทธิ์มาแล้วหลายครั้ง

สำหรับมุมมองทางการเมืองของผม แม้ว่าผมจะไม่ได้มีความเชื่อที่รุนแรงกับระบอบประชาธิปไตยมากมายนัก แต่ก็เป็นกระบวนการที่ผมยอมรับได้ ซึ่งในมุมนี้ ผมมองว่าการเลือกตั้ง คือการเลือกผู้แทนเราเพื่อไปปกป้องผลประโยชน์ของเรา หรือถ้าให้พูดกันง่ายๆ ตรงไปตรงมาก็คือ เราใช้สิทธิ์ของเราในการเลือกผู้แทนเรา ที่คิดว่าจะไปทำให้เราเกิดผลประโยชน์สูงสุด หรืออย่างน้อยที่สุดคือในขอบเขตที่ยอมรับได้

ที่ผ่านมา ผมคงต้องพูดตามตรงว่า ผมมองไม่เห็นว่าการที่ถ้าใครจะได้เป็นผู้แทนในเขตผม หรือใครจะได้เป็นรัฐบาลแล้ว จะทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนแปลง ได้ หรือว่าเสียผลประโยชน์อย่างไร ผมจึงยังไม่เคยคิดจะไปลงคะแนน และคิดว่าสามารถนำเวลาสองสามชั่วโมงตรงนั้นของชีวิต ไปทำอะไรให้กับตัวเองที่มีคุณค่ามากกว่า โดยที่แม้ว่าผลสรุปการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ผมก็รู้สึกยอมรับได้ ซึ่งผมก็รู้สึกว่าการคิดแบบนี้มันแฟร์ดี (แม้ว่าบางคนอาจจะไม่เห็นด้วย)

แต่ครั้งนี้ ผมรู้สึกพลาด

เพราะผมกำลังเสียหายอย่างมหาศาลกับสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน

ผมคงไม่สามารถจะชี้ชัดฟันธงได้ว่า ตกลงใครจะวางยาใครหรือเปล่า แต่ต่อให้การวางยาเกิดขึ้นจริง ยาที่สีแปร่งกลิ่นชัดและเห็นได้ทนโท่ขนาดนี้ คนที่โง่ไปแดกยาพิษนี่มันน่าด่ากว่าหลายเท่านัก

ส่วนเรื่องลูกบอล EM จากที่ผมได้พยายามหาข้อมูลจากสื่อ และผู้รู้ในสาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมแล้ว ก็พบว่าการใช้งานจุลินทรีย์เพื่อวัตถุประสงค์ลักษณะนี้ก็ไม่ต่างกับการใช้ยากับคนไข้ ที่จำเป็นต้องมีการควบคุมชนิดและปริมาณให้เหมาะสมกับลักษณะน้ำและสภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่งในกรณีนี้การใช้แบบสุ่มสี่สุ่มห้า แม้ว่าจะมีความน่าจะเป็นที่จะเกิดผลดี แต่ก็คงไม่ต่างกับการกราดใช้ยาปฏิชีวนะแบบไม่เลือกที่รังแต่จะเกิดส่งผลเสียหายในภาพรวมมากกว่า ซึ่งข้อมูลทางวิชาการเหล่านี้ผมคิดว่ามันไม่ได้ยากเกินกว่าที่ทางการจะตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว การเห็นภาพนายกรัฐมนตรีนั่งสวยในเรือแล้วโยนบอลในทีวีสิงค์โปร์ จึงเป็นเรื่องที่บัดซบยิ่งนัก

จริงๆ ผมคงไม่มีข้อมูลหรือหลักฐานมายืนยันอะไรมาก ว่าถ้ารัฐบาลเป็นอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว อะไรๆ มันจะดีกว่านี้สักแค่ไหนหรืออย่างไร แต่ด้วยสภาพแบบนี้ มันก็คงไม่ต่างกับซื้อขนมยี่ห้อหนึ่งแล้วรสชาติเหมือนขี้เล็บ สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้ คงเป็นการเลือกซื้อขนมยี่ห้ออื่น โดยภาวนาว่ามันจะรสชาติไม่เหมือนขี้เล็บ

เพราะหลายๆ คนที่เลือกรัฐบาลนี้ ก็ใช้ตรรกะเดียวกันนี้กับรัฐบาลที่แล้วเหมือนกัน

Depression of Paul_012

ตอนนี้รู้สึกหดหู่อย่างที่อยากจะกรี๊ดให้จู๋หัก (วันก่อนต้นว่านถามว่า กรี๊ดยังไงให้หัก อันนี้ต้องถาม @Paul_012)

คิดว่าคงมีหลายองค์ประกอบครับ

อย่างหนึ่งคงเป็นเรื่องสถานการณ์น้ำท่วมตอนนี้ ที่ก็ทำให้บรรยากาศรอบๆ ตัวมันเสียสมดุลไปพอสมควร จนตอนนี้ตัวผมเองก็ตัดสินใจจะหนีน้ำไปสิงค์โปร์เรียบร้อยแล้ว

เหตุผลที่คิดว่าหนีๆ ไปเสียให้พ้นเลยน่าจะดีกว่าคือเพราะถ้าน้ำมันจะท่วมจริงๆ ทรัพย์สินจะเสียหายเราก็คงทำอะไรไม่ได้ จะอยู่จะไปก็คงเสียพอๆ กัน ยิ่งถ้าเราจะต้องมาติดเกาะให้เสียจิตอีกก็คงไม่คุ้ม สู้ไปอยู่สบายๆ ดีกว่า (ยิ่งถ้ามองในมุมสาธารณะแล้ว การที่ผู้มีกำลังอำนวยจะอพยพหนีไปไกลๆ ในเวลานี้เป็นสิ่งที่เหมาะที่ควรเพราะจะลดการบริโภคทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด)

และที่รู้สึกดาวน์มากๆ โดยเฉพาะคืนนี้อีก คงเป็นเพราะสมาชิกที่เคยเป็นผู้ร่วมอพยพที่ PlayCube ก็หายหน้าหายตาไปหมด จากบรรยากาศที่มีคนมากมายตั้งแต่ช่วงค่าย มาเหลืออยู่คนเดียวที่ PlayCube ก็เลยรู้สึกเหงาพิลึก

หวังว่าจะผ่านพ้นคืนนี้ไปได้โดยไม่บ้าเสียก่อน และรอดชีวิตไปขึ้น CX713 พรุ่งนี้ได้

Edit (21:53) – จริงๆ ไปสิงค์โปร์ก็ใช่ว่าจะรู้สึกดีนะครับ เพราะไปก็ไม่รุ้จะทำอะไรอยู่ดี ก็คงไปนั่งๆ นอนๆ อ่าน Steve Jobs ต่อให้จบ เฮ้อ…

เฮ้อ…

Flood, perfect.

วันก่อนผมดู The Walking Dead (S2E01) จาก iTunes เรื่องราวต่างๆ ก็ยังคงตื่นเต้นดี ซึ่งในตอนนี้ มีเรื่องราวหลักอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น คือระหว่างที่เหล่าผู้รอดชีวิตกำลังหลบหนีฝูงซอมบี้ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ Sophia เกิดถูกซอมบี้ 2 ตัววิ่งไล่ จนตกใจวิ่งหนีหายไปในป่า ในสถานการณ์นั้น Rick ซึ่งเป็นพระเอกเลยตัดสินใจวิ่งตามเข้าไปช่วยในป่า ด้วยสถานการณ์บังคับที่ Rick มีแต่ปืน การใช้ปืนอาจไม่เหมาะสมเพราะเสียงของปืนจะดึงซอมบี้มาเพิ่มอีก Rick จึงตัดสินใจให้ Sophia ซ่อนตัว แล้ว Rick จะล่อซอมบี้ทั้งสองตัวออกไป แล้วให้ Sophia รีบวิ่งหนีกลับไปยังแคมป์ โดยบอกให้ดูทิศทางโดยอ้างจากพระอาทิตย์

หลังจากที่ Rick ล่อซอมบี้ทั้งสองตัวไปได้ และเดินทางกลับแคมป์ ก็พบว่า Sophia นั้นหายตัวไป ความตึงเครียดในบรรดาผู้รอดชีวิตจึงเริ่มเกิดขึ้น เมื่อการเดินทางต้องหยุดชะงักเพื่อค้นหาตัว Sophia ในป่า และเมื่อแม่ของ Sophia เริ่มโทษ Rick ที่ปล่อยให้ Sophia หนีกลับมาเองคนเดียว

จนในฉากหนึ่งที่นางเอก (ซึ่งต้องเข้าข้าง Rick) ทนไม่ไหว เลยระเบิดอารมณ์ออกมาว่า

Honey, I can’t imagine what you’re going through. And I would do anything to stop it. But you have got to stop blaming Rick. It is in your face every time you look at him. When Sophia ran he didn’t hesitate, did he? Not for a second. I don’t know that any of us would have gone after her the way he did or made the hard decisions that he had to make or that anybody could have done it any differently. Anybody? Y’all look to him and then you blame him when he’s not perfect. If you think you can do this without him, go right ahead. Nobody is stopping you.

After all, you can’t expect anybody to be perfect.

Zero sum.

ไม่ค่อยชอบบรรยากาศน้ำท่วมตอนนี้เลยครับ

เผื่อในอนาคตใครจะมาอ่าน บล็อกนี้เขียนขึ้นระหว่างเหตุการณ์อุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2554ที่ดูจะรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี (หรือแม้แต่หลายสิบปี)

จริงๆ เหตุการณ์น้ำท่วม มาตรการต่อสู้อย่างหนึ่งที่เห็นได้คงเป็นเรื่องของการกั้นน้ำด้วยสารพัดวิธีต่างๆ

แม้จะเป็นวิธีที่ดูดี แต่หากดูที่ตรรกะง่ายๆ ว่าหากแห้งที่หนึ่ง อีกที่ก็ต้องท่วม ก็ทำให้สลดใจได้พอดูเหมือนกัน

แม้ว่าเราจะสามารถใช้ข้ออ้างในเรื่องความสำคัญทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมเพื่อประเมินความสำคัญของพื้นที่ต่างๆ ที่แตกต่างกัน ในการตัดสินว่าที่ใดควรท่วม ที่ใดไม่ควรท่วมก็ตาม (และดูว่าไม่มีวิธีอื่นใดที่จะตัดสินได้ดีกว่าวิธีนี้) มันก็อดทำให้หดหู่ใจเล็กๆ ไม่ได้ เมื่อต้องมีใครสูญเสียเพื่อให้ใครอีกคนรอดพ้น

เมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ ผมต้องผ่านการตัดสินใจที่ค่อนข้างยากลำบากกับการเลื่อนค่าย Cubic Creative Camp 7

แม้ว่าในมุมมองของหลายๆ คนอาจคิดว่าการตัดสินใจเลื่อนนั้นง่าย (อย่างที่หลายๆ ครั้งผมอาจวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจที่เชื่องช้าของหน่วยงานหรือองค์กรอื่นๆ) แต่การจัดสมดุลขององค์ประกอบหลายๆ ด้าน ทั้งเรื่องของจิตใจความรู้สึกทีมงานแต่ละคน ความคาดหวัง ความปลอดภัยของน้องชาวค่าย ความต้องการของผู้ปกครอง คุณภาพของงาน การจัดการ การขนส่ง ไปจนถึงเรื่องของเงินทองกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดนัก

สุดท้าย ผมตัดสินใจที่จะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมขอรับเงินค่าสมัครคืนทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งหากมองในมุมมองของธุรกิจ คิวบิกครีเอทีฟต้องสูญเสียค่าใช้จ่าย และโอกาสจากการเลื่อนนี้อยู่หลายแสน (ซึ่งถึงจะดูไม่เยอะ แต่ก็เป็นเลขที่มีนัยสำคัญสำหรับคิวบิกครีเอทีฟ จากที่ไม่ค่อยจะมีกำไรอยู่แล้ว)

แต่ถึงกระนั้น ผมคงไม่อาจเทียบความสูญเสียนี้ กับทรัพย์สินและชีวิตคนอื่นๆ อีกมากมายในช่วงเวลานี้

ในช่วงเวลาแห่งความสูญเสียนี้ คงยาก ถ้าผมจะยืนกรานไม่ยอมเสียอะไรเลย และอาจง่ายกว่า ที่เราจะยอมเสีย เพื่อให้คนอื่นๆ ที่สูญเสียอะไรไปแล้ว ได้อะไรคืนมาบ้าง แม้จะเป็นเพียงเงินไม่กี่พันบาทก็ตาม

Our lives are zero-summed. Don’t expect to gain something without losing anything.

Because we’re all already naked. It doesn’t matter what we could have, but what we left for others when we’re gone.