Education and its economical value.

วันนี้บังเอิญได้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการนำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ออกนอกระบบผ่านเข้ามาบนหน้า Facebook ผม ถึงกับมีการสร้าง Page ขึ้นมาเลยทีเดียว

หากพูดตามตรง ผมไม่มีรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างเชิงลึกมากนัก และคงไม่กล้าที่จะวิเคราะห์ถึงข้อดีข้อเสียต่างๆ ไปจนถึงการตัดสินว่าควรหรือไม่ควรที่จะมีการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ แต่ประเด็นหนึ่งที่จะค่อนข้างมีจุดยืนที่ตายตัวอยู่แล้ว คือเรื่องการ subsidize อุดหนุนค่าใช้จ่ายทางการศึกษาจากภาครัฐ (ซึ่งในความเข้าใจของผม น่าจะเป็นประเด็นแยกจากการอยู่ในระบบหรือออกนอกระบบ เพราะจะอยู่ในระบบไหนถ้ารัฐจะอุดหนุนค่าใช้จ่ายซะอย่างก็คงทำได้อยู่แล้ว)

ผมเองเป็นคนที่ค่อนข้างจะไม่ปลื้มระบบการศึกษาที่มีอยู่ในปัจจุบันอยู่แล้ว (ไม่ว่าจะของประเทศไหนๆ) ด้วยความไร้ประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการต่างๆ จะรู้สึกว่ามันมีความสิ้นเปลืองในหลายๆ ส่วนอยู่มาก จนทุกวันนี้ผมคิดว่า เราจ่ายเงินเป็นแสนๆ ล้านๆ เพื่อใบปริญญาที่จริงๆ แล้วไม่ได้มีคุณค่าที่แท้จริงอะไรเทียบได้กับจำนวนเงินที่เสียไปสักเท่าไหร่

และผมเองก็ไม่ค่อยปลื้มกับโมเดลของการ subsidize อุดหนุนค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ด้วยความเชื่อลึกๆ ว่า ใน free market ตลาดเสรีนี้ การซื้อขายทุกอย่างควรเป็นไปตามกลไกธรรมชาติของมัน แล้วการให้ความสำคัญและมูลค่าของสิ่งต่างๆ จะเป็นไปอย่างสมดุล รวมไปถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อตอบสนองความต้องการด้วย

แต่แน่นอนครับว่า ในชีวิตสังคมจริง โมเดลของการอุดหนุนเหล่านี้ก็อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้สักทีเดียว เราอาจจะยังมีบางเรื่องบางสิ่งที่เรามองว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานที่รัฐควรให้การสนับสนุนประชาชน เพราะสังคมโดยรวมจะได้รับประโยชน์จากการอุดหนุนนั้น (ยกตัวอย่างเช่น ช่วยแก้ปัญหาปากท้อง ก็ช่วยลดปัญหาอาชญากรรมในสังคม หรืออุดหนุนค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ ก็อาจจะช่วยลดการแพร่กระจายของโรคร้ายบางอย่าง ฯลฯ) ซึ่งการที่จะตัดสินว่าอะไรเหมาะสมไม่เหมาะสมนั้น ก็คงเป็นความคิดที่แตกต่างไปของแต่ละคน

แต่ด้วยความเชื่อที่ผมมองว่าการศึกษาในปัจจุบันนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดมูลค่าในสังคมสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเปรียบเทียบกับเม็ดเงินที่เราจำเป็นต้องลงทุนไปในระบบด้วยแล้ว ยิ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

ผมเห็นด้วยที่รัฐจะมีการอุดหนุนการศึกษาขั้นพื้นฐาน และทำให้การศึกษาขั้นพื้นฐานมีคุณภาพมากพอที่จะทำให้ประชาชนอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุข แต่สำหรับการศึกษาภาคอุดมศึกษาแล้ว ผมมองว่าเป็นการศึกษาระดับวิชาชีพที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน และด้วยลักษณะเนื้อหาที่เข้มข้น เฉพาะทาง เป็นการเรียนรู้ที่เหมาะกับกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีเป้าหมายในการประกอบวิชาชีพดังกล่าวนั้นให้เกิดประโยชน์กับตนเองและสังคม

แต่ทุกวันนี้ภาพของการศึกษาในระดับอุดมศึกษา กลับเต็มไปด้วยนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ หรือเศรษฐศาสตร์ที่สุดท้ายแล้วยากนักที่จะได้ใช้ความรู้ความสามารถที่ได้ใช้เงินร่ำเรียนมามากมายให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้คุ้มค่าอย่างที่ควรจะเป็น

ผู้เรียนที่ไม่ได้เป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียน ย่อมไม่ได้เห็นความสำคัญของมูลค่าที่แท้จริงของการศึกษา และไม่ได้นำปัจจัยเรื่องค่าใช้จ่ายและมูลค่าทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของวิชาชีพนั้นๆ มาใช้ประกอบการตัดสินใจเข้าศึกษาในสถาบันหรือสาขาวิชาต่างๆ เหมือนที่พวกเราจะเลือกซื้อสินค้าต่างๆ หรือการที่นักธุรกิจจะเลือกตัดสินใจลงทุนในโครงการต่างๆ

อีกทั้งสถาบันการศึกษาที่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องแข่งขันกันสร้างการศึกษาที่มีคุณภาพ และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจและความพึงพอใจคุ้มค่ากับราคาขายที่ผู้เรียนต้องซื้อ เพราะด้วยเงินอุดหนุนจากภาครัฐที่ลอยมา ร่วมกับการที่ต้องเพิ่มจำนวนที่นั่งให้ได้มากที่สุด ล้วนแล้วแต่เกื้อหนุนยิ่งให้เกิดการศึกษาที่ไร้คุณภาพ และการไม่เห็นคุณค่าที่แท้จริงของการศึกษาของผู้เรียน

ดังนั้นโมเดลที่ผมเองออกจะเห็นด้วยมากกว่า คือโมเดลของการมีค่าเล่าเรียนที่สะท้อนความเป็นจริง แต่เปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้หรือทรัพย์สินน้อยได้ใช้เงินในอนาคตของตนเองมาใช้จ่ายล่วงหน้า ซึ่งก็เป็นเงินที่บุคคลเหล่านั้นควรจะหาได้มากขึ้น จากการเรียนที่มากขึ้นนี้เช่นเดียวกัน

แต่จริงๆ แล้ว ภาพการออกมาต่อต้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบอย่างตื้นเขิน และนำค่าเล่าเรียนเป็นตัวนำ และปราศจากการมองภาพให้รอบในเชิงลึกก็ค่อนข้างสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่า การศึกษา ไม่ว่าจะในระดับพื้นฐาน หรือในระดับอุดมศึกษานี้ล้มเหลวอย่างไร

จนบางที ผมก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ในประเทศที่เราแสนจะภูมิใจในความเป็นประชาธิปไตย แต่เรากลับมีรากฐานทางความคิดที่ออกจะเอียงไปทาง communism สังคมนิยมที่เราตราหน้าว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายได้แบบนี้

And my very first vote goes to…

ไม่ไหวแล้ว!

ที่ผ่านมา หลายๆ คนรอบๆ ตัวผมคงจะพอทราบดีว่า ในชีวิตนี้ผมยังไม่เคยไปเลือกตั้งแม้แต่ครั้งเดียว แม้่ว่าจะมีสิทธิ์มาแล้วหลายครั้ง

สำหรับมุมมองทางการเมืองของผม แม้ว่าผมจะไม่ได้มีความเชื่อที่รุนแรงกับระบอบประชาธิปไตยมากมายนัก แต่ก็เป็นกระบวนการที่ผมยอมรับได้ ซึ่งในมุมนี้ ผมมองว่าการเลือกตั้ง คือการเลือกผู้แทนเราเพื่อไปปกป้องผลประโยชน์ของเรา หรือถ้าให้พูดกันง่ายๆ ตรงไปตรงมาก็คือ เราใช้สิทธิ์ของเราในการเลือกผู้แทนเรา ที่คิดว่าจะไปทำให้เราเกิดผลประโยชน์สูงสุด หรืออย่างน้อยที่สุดคือในขอบเขตที่ยอมรับได้

ที่ผ่านมา ผมคงต้องพูดตามตรงว่า ผมมองไม่เห็นว่าการที่ถ้าใครจะได้เป็นผู้แทนในเขตผม หรือใครจะได้เป็นรัฐบาลแล้ว จะทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนแปลง ได้ หรือว่าเสียผลประโยชน์อย่างไร ผมจึงยังไม่เคยคิดจะไปลงคะแนน และคิดว่าสามารถนำเวลาสองสามชั่วโมงตรงนั้นของชีวิต ไปทำอะไรให้กับตัวเองที่มีคุณค่ามากกว่า โดยที่แม้ว่าผลสรุปการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ผมก็รู้สึกยอมรับได้ ซึ่งผมก็รู้สึกว่าการคิดแบบนี้มันแฟร์ดี (แม้ว่าบางคนอาจจะไม่เห็นด้วย)

แต่ครั้งนี้ ผมรู้สึกพลาด

เพราะผมกำลังเสียหายอย่างมหาศาลกับสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน

ผมคงไม่สามารถจะชี้ชัดฟันธงได้ว่า ตกลงใครจะวางยาใครหรือเปล่า แต่ต่อให้การวางยาเกิดขึ้นจริง ยาที่สีแปร่งกลิ่นชัดและเห็นได้ทนโท่ขนาดนี้ คนที่โง่ไปแดกยาพิษนี่มันน่าด่ากว่าหลายเท่านัก

ส่วนเรื่องลูกบอล EM จากที่ผมได้พยายามหาข้อมูลจากสื่อ และผู้รู้ในสาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมแล้ว ก็พบว่าการใช้งานจุลินทรีย์เพื่อวัตถุประสงค์ลักษณะนี้ก็ไม่ต่างกับการใช้ยากับคนไข้ ที่จำเป็นต้องมีการควบคุมชนิดและปริมาณให้เหมาะสมกับลักษณะน้ำและสภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่งในกรณีนี้การใช้แบบสุ่มสี่สุ่มห้า แม้ว่าจะมีความน่าจะเป็นที่จะเกิดผลดี แต่ก็คงไม่ต่างกับการกราดใช้ยาปฏิชีวนะแบบไม่เลือกที่รังแต่จะเกิดส่งผลเสียหายในภาพรวมมากกว่า ซึ่งข้อมูลทางวิชาการเหล่านี้ผมคิดว่ามันไม่ได้ยากเกินกว่าที่ทางการจะตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว การเห็นภาพนายกรัฐมนตรีนั่งสวยในเรือแล้วโยนบอลในทีวีสิงค์โปร์ จึงเป็นเรื่องที่บัดซบยิ่งนัก

จริงๆ ผมคงไม่มีข้อมูลหรือหลักฐานมายืนยันอะไรมาก ว่าถ้ารัฐบาลเป็นอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว อะไรๆ มันจะดีกว่านี้สักแค่ไหนหรืออย่างไร แต่ด้วยสภาพแบบนี้ มันก็คงไม่ต่างกับซื้อขนมยี่ห้อหนึ่งแล้วรสชาติเหมือนขี้เล็บ สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้ คงเป็นการเลือกซื้อขนมยี่ห้ออื่น โดยภาวนาว่ามันจะรสชาติไม่เหมือนขี้เล็บ

เพราะหลายๆ คนที่เลือกรัฐบาลนี้ ก็ใช้ตรรกะเดียวกันนี้กับรัฐบาลที่แล้วเหมือนกัน