ชีวิตในโรงพยาบาล (Part 2)

คราวนี้ผมก็ได้ถูกย้ายมาโรงพยาบาลบางปะกอก 9 แล้ว ซึ่งในความเห็นผม ถือว่าเป็นโรงพยาบาลที่หรูหราที่สุดในบรรดา 3 โรงพยาบาลที่ผมได้เข้า จริงๆ อาจจะเป็นเพราะเค้าพาผมเข้าวอร์ด VIP (มันจะมีสองระดับ) ด้วยความที่เป็นหลานหมอยง (หมอยงเป็นบอร์ดโรงพยาบาลบางปะกอก 9 และเข้าคลินิก 1 วัน) ห้องนี่แบบตกแต่งหรูหราไฮโซ ทั้งภาพประดับที่ดูมีราคา ม่านปิดสีทอง

นอกจากนี้แล้ว ในความเห็นผม พยาบาลของบางปะกอก 9 บริการดีที่สุดในทั้งหมดทั้งมวล เรียกปุ๊ปมาเร็ว แถมพูดจาน่ารัก ทำอะไรก็ดูเป็นงาน ไม่มีอะไรเพี้ยนๆ ให้แอบหงุดหงิดใจ

ในช่วงที่อยู่บางปะกอก 9 อาการของผมก็ไม่ค่อยแตกต่างจากตอนอยู่ที่วิภาวดีเท่าไหร่ ก็คือมีไข้สูงทั้งวัน ลดบ้างเมื่อกินพารา นอน แล้วก็ต้องนับน้ำเข้าออก ฉี่ก็ต้องกรอกอะไรเหมือนเดิมทุกประการ

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมออกจะขัดใจที่สุด เมื่อเทียบกับความหรูหราของห้อง บริการที่แสนดีของพยาบาลสุดน่ารัก คืออุปกรณ์ครับ เทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ก็กลายเป็นแบบปรอท (ยังดีมีพลาสติกหุ้ม) เครื่องให้น้ำเกลือก็ไม่มี เป็นแบบปรับแมนนวล ตอนแรกก็แอบงงๆ ไปเหมือนกันว่า โรงพยาบาลดูแพงขนาดนี้ แพ้วิภาวดีในเรื่องพวกนี้ได้ไงเนี่ย

แต่เพราะอยู่ที่บางปะกอก 9 ซึ่งหมอเจ้าของไข้ผม เป็นลูกสะใภ้ของอาหมอยงผมเอง ชื่อพี่เจิน (จริงๆ จะเรียกว่าพี่สะใภ้เลยก็ได้ แต่เดี๋ยวไม่เห็นว่าไปทางไหน) เลยจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ แทนที่หมอจะเข้ามาหาวันละครั้งแบบที่วิภาวดี อันนี้เล่น เช้า กลางวัน เย็น ครบ วันละ 3-4 ครั้ง ซึ่งจริงๆ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะมีผลต่อการรักษาบ้างหรือเปล่า 555+

ช่วงที่อยู่ที่บางปะกอก 9 เนี่ยแหละครับ ที่สภาพจิตใจผมเริ่มตกต่ำ เพราะถึงยังไง อยู่โรงพยาบาลมันก็ไม่สบายจิตเท่าอยู่บ้าน แล้วมันก็เป็นสภาพที่แบบ เราป่วยมามากแล้วนะ รู้สึกเหนื่อย รู้สึกท้อ ถ้าจะต้องเป็นไข้ ถ้าจะต้องอาเจียน ก็ขอเป็นที่บ้านได้มั้ย อารมณ์นั้น ตอนนั้นถึงขนาดร้องไห้เลยนะ แต่สุดท้ายอาหมอยงก็ยังไม่ยอมปล่อยกลับ ฮา…

จนผมอยู่ที่นี่ได้สักสัปดาห์นึง อาการก็ยังไม่ดีขึ้นอีก จนสุดท้ายอาหมอยงเลยตัดสินใจจะย้ายผมไป รพ.จุฬาฯ เพื่อหาหมอที่เก่งกว่านี้

ต่อตอนต่อไปครับ 🙂

(ปล. มารู้ทีหลังว่า เค้าชาร์จค่าห้อง กับค่าบริการแค่ 50% ด้วยครับ แต่พวกค่ายานี่จ่ายเต็ม แต่เอาเข้าจริงๆ ประกันก็จ่ายอยู่ดี ไม่รู้จะลดทำไม)

ชีวิตในโรงพยาบาล (Part 1)

จากที่หลายๆ คนคงทราบกันดี ผมเข้าโรงพยาบาลมานานมาก นับๆ แล้วก็เดือนนึงได้ เผื่อใครยังสงสัยว่าผมเป็นอะไร ก็คือว่าผมเป็นไข้เลือดออก แล้วก็แพ้ยาอะไรสักอย่างที่ได้ เลยเน่าต่อ ได้แต่รักษาตามอาการ ซึ่งจนบัดนี้จะเดือนกว่าๆ แล้วก็ยังมีไข้อยู่ แต่เริ่มใช้ชีวิตตามปกติได้บ้างด้วยสเตอรอยด์ที่กดไข้ไว้ (กินพาราไม่ไหวแล้วเพราะว่ากินเยอะมากในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตับจะระเบิด จนทุกวันนี้ถ้าจะกินพาราหมอให้กินถ้าไข้สูงจริงๆ เท่านั้น แถมให้กินแค่ 325mg จากที่ควรจะเป็น 1,000mg) ตอนนี้ก็อยู่ระหว่างหาจังหวะลดสเตอรอยด์ลงไปเรื่อยๆ ตามอาการที่ลดลง จนกระทั้งหมด ก็แปลว่าหายดี เกมโอเวอร์

ผมเองไม่เคยได้ป่วยหนักๆ ขนาดต้องไปนอนโรงบาลเลยเท่าที่จำความได้ (ถามพ่อแม่แล้วบอกว่าตอนเด็กๆ เคยมีทีนึง แต่ก็ไม่ได้เจาะน้ำเกลือ) การป่วยครั้งนี้เลยถือว่าเป็นประสบการณ์ครั้งใหม่ในชีวิตของผมหลายๆ อย่างเลยทีเดียว ผมได้เข้าโรงพยาบาลทั้งหมด 3 โรงพยาบาล ตอนแรกพอป่วยก็ไปหาหมอที่วิภาวดีก่อน หมอบอกว่าน่าจะเป็นไข้เลือดออก ก็กลับบ้านมาดูอาการ จนกระทั้งมีการอาเจียน เลยไปเข้าโรงพยาบาลในคืนนั้นตอนตี 1 ก็โดนเจาะน้ำเกลือครั้งแรกในชีวิตเรียบร้อย ซึ่งก็ทำให้ผมได้เห็นกับเครื่องให้น้ำเกลือเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่จะสามารถปรับได้ว่าจะให้กี่ ml/hr แล้วเครื่องก็จะปรับให้ตามนั้น เป็นเครื่องที่มีแบตเตอร์รี่ สามารถถอดปลั๊กเวลาไปเข้าห้องน้ำได้

ที่ตกใจมากอย่างหนึ่งคือ พยาบาลเค้าจะคอยบันทึกปริมาณการดื่มน้ำกับปัสสาวะของเรา โดยเราต้องฉี่ใส่คอมฟอร์ทร้อย แล้วก็เอาฉี่ไปใส่ในขวดตวงที่เค้าเตรียมไว้ แล้วเค้าก็จะคอยมาจดบันทึก อันนี้เองก็ยังไม่แน่ใจว่า จะบันทึกเอาไปทำหอยทำปูอะไรเหมือนกัน อันนี้รอผู้รู้มาตอบ

ช่วงที่อยู่ที่วิภาวดีรู้สึกว่าทรมานที่สุดเลยครับ เหตุผลหลักๆ คงเพราะช่วงนั้นจะอาเจียนเยอะมาก แล้วพออาเจียนหนักๆ เค้าก็จะมาให้ยาแก้อาเจียนทางน้ำเกลือ ซึ่งยานี้เป็นเหี้ยอะไรไม่รู้ จะทำให้กระสับกระส่ายแบบทรมาณมากๆ ไปสักครึ่งชม. แทบบ้า แต่ที่ชอบอย่างนึงคือ พยาบาลบริการดีมากครับกดปุ่มปั๊บ เรียกให้ช่วยอะไรก็มาเร็ว (ที่เรียกเยอะสุดคือเช็ดตัว ตอนอยู่ที่วิภาวดียังอาบน้ำไม่ไหว พอเช็ดตัวก็เช็ดแต่พื้นที่เปิดเผย ช่วงนั้นจู๋เหม็นมาก ไม่รู้พยาบาลเช็ดตัวจะได้กลิ่นหรือเปล่า)

อ่อ อีกเรื่องเล็กๆ โรงพยาบาลวิภาวดีเป็นที่เดียวที่ใช้อุปกรณ์วัดไข้เป็นแบบติ๊ดๆ ที่รูหู ในขณะที่อีกสองที่ที่ไปใช้แบบปรอทคลาสสิก ต้องเขย่า และช้าเป็น 386

หลังจากประมาณ 1 สัปดาห์ที่อาการไม่ดีขึ้น อาหมอยงเลยบอกว่าให้ย้ายไปโรงพยาบาลบางปะกอกแทน เค้าจะได้ช่วยดูอาการให้ได้ ตรงนี้เดี๋ยวไว้ว่างๆ จะมาเขียนต่อครับ ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว ตาลายไปหมดแล้ว

ไว้ติดตามต่อครับ