JP/US 2014 – Day 3

ในวันนี้ตอนแรกเรามีแผนการที่จะไปเที่ยวสวนสนุกที่ Nagashima Spaland แต่เนื่องจากว่าเมื่อคืนโดนผีหลอก ทำให้กว่าจะได้นอนก็เกือบเช้า กว่าจะตื่นออกมาก็สายๆ แถมอยู่ในสภาพเน่ามากๆ ตอนนั้นเราเลยตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนกำหนดการจากวันที่ 4 มาวันนี้แทน

รายการแรกจึงเริ่มต้นขึ้นที่เราไปที่ Toyota Commorative Museum of Industry and Technology ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ของโตโยต้าที่จะเล่าถึงประวัติเรื่องราวการเติบโตทางธุรกิจและการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ของโตโยต้าตั้งแต่สมัยที่เป็นบริษัทผลิตเครื่องจักรทอผ้ามาจนถึงการเป็นผู้ผลิตรถยนต์

สำหรับค่าเข้าเราซื้อเป็นตั๋วร่วมกับ Noritake Garden ในราคา 800 เยน ข้างในก็จะมีการแสดงประวัติและการพัฒนาเครื่องจักรต่างๆ ทั้งของอุตสาหกรรมและของโตโยต้าเอง ทั้งในส่วนของการทอผ้าตั้งแต่การทำเส้นใยเป็นด้ายไปจนถึงการเอาด้ายมาทอเป็นผ้า และส่วนรถยนต์ที่อธิบายกลไกการทำงานของส่วนประกอบต่างๆ

IMG_0227_2

IMG_0225_3

ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ พนักงานที่เป็นคนให้ข้อมูลที่นี่นอกจากจะน่ารักแล้วยังมีข้อมูลแน่นมากๆ และก็ดูกระตือรือร้นที่จะอธิบาย แม้ว่าจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้มากก็ตาม

และที่พิพิธภัณฑ์นี้ก็มีร้านอาหารอยู่ ตอนแรกก็สองจิตสองใจว่าจะทานดีไหมเพราะกลัวว่าจะแพง แต่สุดท้ายก็พบว่าคุ้มมาก ราคาถูกกว่าที่คิด ยิ่งเทียบกับคุณภาพแล้ว ชุดเสต็กพร้อมขนมปังและสลัดแค่ 900 เยน เลยสรุปได้ว่าจากค่าเข้าที่แสนถูก พนักงานที่แสนดีและเยอะ และอาหารแสนดีแสนถูก เลยรู้สึกว่าพิพิทธภัณฑ์นี้เป็นหน่วยธุรกิจของโตโยต้าที่ไม่ได้เน้นรายได้จริงๆ จังๆ สักเท่าไหร่จริงๆ

ต่อมาเราก็ไปเพ้นท์เซรามิกกันที่ Noritake Garden ตอนแรกสุดเลยเขาก็จะให้เลือกว่าเราอยากจะเพ้นท์บนอะไร เช่นจาน แก้ว แต่ละอย่างก็จะมีราคาไม่เท่ากัน แล้วก็บางอย่างอาจจะเลือกได้ว่าจะเอาแบบที่มีร่างภาพไว้แล้ว ลงสีอย่างเดียว หรือเปล่าๆ ให้ลงเองเลย ผมก็เลยเลือกจานเปล่าๆ มาวาดภาพไม้ตายลงไปตามนี้

IMG_0327_2

หลังจากที่วาดเสร็จ เค้าก็จะเอาไปอบให้เรา แล้วจึงจะส่ง EMS ให้ โดยเราสามารถเลือกว่าจะให้ส่งไปที่อยู่ในญี่ปุ่นได้ฟรี หรือไปที่บ้านเราที่ต่างประเทศเลย โดยที่เราส่งไปที่ประเทศไทยทั้งคู่มีค่าใช้จ่ายรวมที่ 1,900 เยน รวมกับค่าจาน 1,800 เยน เลยตกคนละ 2,750 เยนพอดี ก่อนกลับก็ถ่ายรูปเก๋ๆ ใน Noritake Garden อีกหน่อย

IMG_0269_3

IMG_0275

IMG_0274_2

เสร็จจาก Noritake Garden เราก็ตั้งใจว่าจะไปดู Nagoya Castle แต่ปรากฏว่ากว่าจะเดินทางไปถึงก็ปิดซะก่อน เลยได้แต่ดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ก่อนที่จะไปช็อปปิ้งดูของที่ Osu Street ซึ่งแทนก็โดนไปหลายหมื่นเยน ตั้งแต่นาฬิกา เสื้อ หมวก ก็เป็นอันเสร็จสิ้นวันที่ 3 ที่ Nagoya

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

JP/US 2014 – Day 2

กำหนดการหลักๆ ในวันนี้คือการไปเที่ยว Fuji-Q Highland ที่เป็นสวนสนุกอยู่ใกล้ๆ กับภูเขาไฟฟูจิ การเดินทางต้องขึ้นรถบัสจากสถานี Shinjuku ไป ความพลาดในวันนี้เริ่มต้นที่เราออกเดินทางจากที่พักได้ช้าไปหน่อยเพราะดันตื่นสายและอีดอาดเอง จนทำให้ไปถึง Shinjuku ได้ค่อนข้างช้า ความโง่ต่อมาคือเราไม่ได้จองรถบัสเอาไว้ เพราะเนื่องจากครั้งก่อนที่เคยมาเมื่อ 4 ปีที่แล้วสามารถมาจองหน้างานได้แล้วก็ว่างๆ เลย แต่คราวนี้เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอมหรืออาจะเป็นฤดูกาลเที่ยว ดูเหมือนว่าจะมีคนเดินทางไป Fuji-Q มากกว่าที่คิดไว้ เลยทำให้รอบรถบัสที่ได้เลทออกไปอีก ตอนนั้นเราจึงมีเวลาเดินหาอะไรกินแถว Shinjuku ก็ได้พบกับร้านนี้ ก็อร่อยดีและไม่ค่อยแพง

IMG_0206

จนไปถึง Fuji-Q ประมาณเที่ยงก็ตกใจเพราะคนเยอะกว่าที่คาดหวังไว้มาก แม้ว่าจะแพลนว่าจะมาวันอังคารแล้วก็ตาม เดาว่าน่าจะเป็นช่วงปิดเทอมหรืออะไรสักอย่าง จนทำให้สุดท้ายต้องรอคิวนานมาก และได้เล่นเครื่องเล่นเด่นๆ ของ Fuji-Q Highland ได้แค่ 2 เครื่องจาก 4 เครื่อง คือ Eejanaika กับ Takabisha

สำหรับอันแรก Eejanaika เป็นโรลเลอร์โคสเตอร์แบบที่ที่นั่งจะหมุนได้ 360 องศา บวกกับการตีลังกาหล่นไปมาของรางก็โหดอยู่พอสมควรเหมือนกัน เผื่อใครไม่เห็นภาพขอขโมยภาพมาแปะตามนี้

1

ส่วนเครื่องที่สอง Takabisha เป็นของใหม่ที่ครั้งที่แล้วยังไม่มี เป็นเครื่องเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์ที่ได้ลงประวัติว่าชันที่สุดที่ 121 องศาโดย Guiness World Record ถ้างงว่า 121 องศาเป็นยังไงดูตามรูป (แต่ยังสงสัยว่า แล้วพวกตีลังกานี่มันวัดองศาว่าเกิน 121 ไม่ได้เรอะ)

thrill-seekers-point-at-the-takabisha-with-a-free-falling-angle-of-121-degrees-pic-afp-357174527

ตัวโรลเลอร์โคสเตอร์จะประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นส่วนในอาคารเป็นที่มืด กับส่วนที่สองจะหลุดออกมานอกตัวอาคาร ช่วงแรกจะเป็นแบบใช้แรงดันออกไป จะมีแค่ช่วงหลังก่อนหล่น 121 องศาที่จะเป็นใช้โซ่ลากขึ้นในแนว 90 องศา รถเป็นแบบ 1 คันต่อขบวน 8 คนต่อคัน 2 แถว แถวละ 4 คน มีเวลาเล่นรวมประมาณ 2 นาที

พอเล่นเสร็จกลับออกมาก็จนสวนสนุกปิดพอดี มานั่งคิดเลขดูพบว่าอีห่าราก ถ้ารู้งี้ซื้อแบบแยกเครื่องเล่นไปยังจะถูกกว่าตั้งเยอะ ไม่น่าพลาดซื้อแบบเหมารวมทั้งวันเลย

และเนื่องจากความโง่ที่ไม่จองรถบัสจนกำหนดการในวันนี้เลท เราจึงต้องทำเวลาสุดๆ พอมาถึง Shinjuku เพื่อเหาะไป Tokyo Station ให้ทัน 4 ทุ่ม ซึ่งจะเป็นเวลาที่ Shinkansen ขบวนสุดท้ายที่จะไป Nagoya เป้าหมายต่อไปของเราออกเดินทาง

ตอนที่อยู่ Tokyo ก็หิวมากเพราะไม่ได้กินข้าวเย็น และต้องรีบกินอย่างรวดเร็ว ก็เดินๆ หาแล้วตกลงว่าเจอร้านไหนร้านแรกจะกินเลย ปรากฏไปเจอร้านสเต็กที่หรูหราและอร่อยมาก น่าเสียดายที่เราต้องกระเดื๊อกเข้าไปให้หมดใน 10 นาทีเพื่อให้ทันรถไฟ ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมความอร่อยและความน่ารัก[1]ของพนักงาน

เมื่อไปถึง Nagoya เราก็ไปพักที่บ้านโฮสต์จาก Airbnb ชื่อว่า Koji ซึ่งก็ได้บรรยากาศบ้านบ้านสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ เราได้พักในห้องชั้น 3 ตามภาพนี้ ก็ถือว่าอยู่ได้อบอุ่นดี น่าเสียดายที่กว่าจะไปถึงก็เที่ยงคืนกว่าๆ แล้ว จึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับ Koji มาก

IMG_0320_2

ความน่าตื่นเต้นของการพักที่บ้าน Koji คือในตอนกลางคืนระหว่างที่หลับไปแล้ว อยู่ๆ แทนก็ร้อง “อ๊า…!” ออกมา แว้บแรกผมก็คิดในใจว่าเห้ยละเมออีกแล้วปะวะ เพราะคืนที่แล้วตอนนอนที่แคปซูลก็มีละเมอมาสองสามครั้ง แต่เพื่อความแน่ใจก็เลยถามไปทีนึงว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แทนก็บอกว่ารู้สึกว่าโดนผีหลอก เป็นผีอำ ขยับตัวไม่ได้ แล้วรู้สึกมากๆ ว่ามีคนมาจับที่ไหล่ ซึ่งก็ไม่ใช่ฉันแน่ๆ เพราะก็นอนอยู่ดีๆ แถมไหล่ฝั่งที่โดนจับเป็นอีกฝั่งหนึ่ง หลังจากนั้นแทนก็เล่าสิ่งที่ฝันโดยละเอียดก่อนจะรู้สึกว่าโดนหลอก ไอ้เราก็เหี้ยละ เลยกลัวไปด้วย นอนไม่หลับกันทั้งสองคน สุดท้ายกลัวกันไปกลัวกันมา กว่าจะได้หลับก็ประมาณตี 4 ตี 5 ได้ จะบ้า!

[1] เฉพาะผู้อ่านผู้ชายที่มีรสนิยมชื่นชอบช่องคลอด หรือผู้อ่านที่มีช่องคลอดและชื่นชอบผู้หญิง

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

JP/US 2014 – Day 1

วันนี้จะเป็นวันแรกของการเดินทาง 1 เดือนไปญี่ปุ่นกับอเมริกา โดยที่จะเริ่มจากญี่ปุ่นก่อน ทริปแรกในส่วนของญี่ปุ่นจะมีผู้ร่วมอุดมการณ์อยู่สองคนคือแทนกับกร โดยที่แทนจะเดินทางไปพร้อมกันในคืนวันที่ 9 มีนาคม (เช้า 10 มีนาคม) ส่วนกรจะตามไปญี่ปุ่นเองทีหลังถัดไปอีกหนึ่งวัน

ความตื่นเต้นของการเดินทางเริ่มต้นที่เนื่องจากว่าทั้งผมและแทนจองตั๋วแยกจากกัน เพราะว่าเส้นทางไม่เหมือนกัน ของผมต้องไปเป็นตั๋วแบบไปอเมริกาแล้วแวะพักที่ญี่ปุ่น ในขณะที่ของแทนเป็นตั๋วไปกลับญี่ปุ่นปกติ เราจึงไม่สามารถวางแผนที่จะจองที่นั่งไว้ก่อนได้ เพราะถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้ที่นั่งติดกันที่ติดทางเดิน ก่อนหน้านี้เคยพยายามโทรไปหา JAL แล้ว แต่เค้าบอกว่าเครื่องมันเต็มมาก เลยจองให้ไม่ได้ เลยกะไปรอลุ้นว่า 72 ชั่วโมงก่อนเวลาเครื่องขึ้นปุ๊ปจะรีบเช็คอินเลือกที่ไว้เลย

ปรากฏว่า พอถึงเวลา 72 ชั่วโมงที่ว่า ผมก็รีบล็อกอินเข้าไปเพื่อจะเช็คอินในระบบ ปรากฏว่าแม่เจ้า! เหลืออยู่ 5 ที่ แล้วทั้งหมดดันเป็นแถวหลังสุดของบล็อกติดห้องน้ำ ตอนนั้นเลยคิดว่า เอาวะ รีบไปเช็คอินหน้าเคาน์เตอร์ก็ได้ ตามกำหนดเครื่องออกตี 1 ก็ไปซะตั้งแต่ 2 ทุ่มกว่าๆ ปรากฏพอเข้าไปเช็คอิน พนักงานที่เคาน์เตอร์ก็งงๆ เหมือนมีปัญหาอะไรสักอย่าง สักพักพนักงานอีกคนที่เหมือนว่าน่าจะใหญ่กว่าก็เข้ามา คุยๆ อะไรกันสักพัก แล้วก็ถามขึ้นมาว่า “คุณณัชกับคุณนพวิทย์จะไปทำอะไรกันที่ญี่ปุ่นคะ” แว้บแรกในใจก็คิดขึ้นมาว่า “อีดอกจะเสือกอะไร” แล้วก็ตอบไปว่า “อ๋อ ไปเที่ยวครับ” พนักงานจึงตอบกลับมาว่า “เนื่องจากว่าที่นั่งเต็ม เราเลยต้องอัปเกรดให้เป็น BC นะคะ” พอเราได้ยินแว้บแรกยังงงๆ อยู่ ก็ถามกลับไปว่า “อะไรนะครับ?” “ตอนนี้ที่นั่ง Economy Class ไม่มีที่ว่างแล้ว ทางเราเลยจะย้ายให้ไปนั่ง Business Class ค่ะ” พร้อมกับถามติดตลกว่า “หรือจะไม่เอาคะ?” เอ้า อีห่านี่ก็เอาสิ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้จับพลัดจับผลูนั่ง BC เฉย เก๋ซะไม่มี (แต่ถ้าได้อัปเกรดตอนที่เป็น HND-SFO จะดีใจกว่านี้มาก อันนั้นเป็นเครื่อง 787)

และด้วยบุญวาสนาในชาติปางก่อน ก็เลยทำให้เราได้มีโอกาสนั่ง BC กับเขาบ้าง มีซูชิในจานปกติให้กิน ขวดโชยุน่ารักเชียว ที่ฟินสุดมันอยู่ที่ว่า ที่นั่งมันทำเป็นเตียงราบได้เนี่ยแหละ (ถึงอยากได้เป็นขา HND-SFO ที่นานกว่านี้)

Image

ข้ามเวลามาในตอนเช้า พอมาถึงที่ NRT ตามแผนการเดิมเราก็ตั้งใจว่าจะไปดูสวนสตรอเบอร์รี่ที่ชิบะเพราะใกล้นาริตะอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเปลี่ยนแผนกันว่าเข้าโตเกียวเลยแล้วกัน เพราะถ้าขากลับไม่ได้นั่ง Narita Express จะใช้เวลาพอสมควรกว่าจะกลับถึงโตเกียว (เสียดายเวลา) จากไร่สตรอเบอร์รี่เลยกลายเป็น Ginza และตลาดปลา Tsukiji แทน

ตรงนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ นอกจากว่าได้ชิมลมชมบรรยากาศ แวะเข้าไปสักการะ Apple Store แล้วก็เดินไปต่อถึงที่ Tsukiji ระหว่างทางก็เจอร้านซูชิประปราย แต่ด้วยความที่เราคิดว่า เห้ย ไปกินตรงตลาดน่าจะถูก/สดกกว่าน่า ก็เลยข้ามๆ ไป ทีแรกก็นึกว่าจะได้ไปลองกินซูชิร้านดังที่ชื่อว่าซูชิไดอะไรนั่น แต่พอไปถึง คุณพระ! แถวยาวยังกับจู๋ภูวัน แม่งยัดกัญชาแทนวาซาบิหรืออะไร เลยตัดสินใจเดินๆ ดูร้านอื่นใกล้ๆ ที่ว่างๆ แทน (ซึ่งดูไปดูมาก็น่าสงสารนะ แบบ ร้านอยู่ติดๆ กัน และว่าง แต่คนก็ยังอุตสาห์จะต่อแถวกินอีกร้าน โถ…)Image

สุดท้ายเราก็ตัดสินใจมาร้านนี้ ก็กินไปคนละชุดเพราะง่ายดีไม่ต้องสื่อสาร ก็กินไปกะว่าจะยังไม่เอาอิ่ม กะกินเรื่อยๆ ลองหลายๆ ที่ดีกว่า พอกินเสร็จจ่ายเงินออกมา ก็มาเดินดูร้านอื่นรอบๆ ตลาดก็ยังไม่เจอร้านที่โดนใจและโดนเงินในประเป๋า จนแทนบอกว่า งั้นเรากลับไปกินร้านนอกตลาดที่เดินผ่านมาดีกว่า เพราะคิดเลขแล้วบางเมนูยังถูกกว่าด้วยซ้ำ ก็เลยเดินกลับมาร้านนี้

เข้าไปแล้วได้ดูเมนูละเอียดๆ อีกทีแล้วก็พบว่า โว๊ะ ถูกกว่าร้านโทรมๆ ในตลาดอีก แต่สุดท้ายผมเองก็สังอีกนิดเดียวเพราะเริ่มเสียดายเงิน ไม่ค่อยรับรู้ความแตกต่างของซูชิแบบต่างๆ เท่าไหร่ เลยปล่อยให้แทนมีความสุขกับซูชิพวกนั้นไป จบ เรียบร้อย ก็ไปต่อที่ Imperial Palace ที่อีกด้านของสถานีโตเกียว แวะถ่ายรูปสักนิด แล้วก็ตัดสินใจไปชมวิวพระอาทิตย์ตกที่ Yokohama ซึ่งต้องนั่งรถไฟไปอีกสักพัก เป็นอันจบรายการในวันนี้

Image

ที่เซอร์ไพรส์ต่อมาคือ กรที่เดิมจะต้องมีกำหนดการเดินทางมาถึงในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า ต้องเลื่อนการเดินทางอย่างกระทันหันด้วยอุบัติเหตุทางการศึกษา เลยกลายเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการในช่วงวันกลางๆ อย่างยิ่งยวด (ติดตามตอนต่อไป)

สุดท้ายในวันนี้เราก็ไปพักที่โรงแรมแคปซูลใน Kanda ซึ่งจะเป็นที่พักหลักของเราในโตเกียวตลอดทริป ด้วยเหตุผลที่ว่ามันถูกมาก แม้ว่าจะถูกกว่าโฮสเทลไม่มาก ได้แต้มกับเว็บที่ใช้จองคุ้ม (เหยื่อการตลาด) ก็เป็นอันจบวันแรกไปด้วยดี

หมายเหตุ: อันนี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง