I’m the Boss

I’m the Boss

เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็บ่นชีวิตมนุษย์เงินเดือนกันนะครับ ไม่รู้ทำไม แต่ถ้าดูเพื่อนๆ รอบๆ ตัวหรือกระแสสังคม ก็มักจะโอดโอยกับชีวิตการเป็นลูกน้องว่ามันแสนสาหัสอย่างนั้น แสนสาหัสอย่างนี้ อย่างเพจเรียนเจ้านายที่เคารพที่ก็ดูจะป๊อปน่าดูเหมือนกัน

ถึงผมคงจะบอกไม่ได้ว่าชีวิตลูกน้องมันจะดีจะงามหรือบัดซบยังไงมากเท่าไหร่ เพราะชีวิตนี้ไม่เคยได้ผ่านช่วงเวลานั้นมา คงจะไม่เข้าใจอะไรทำนองนั้น แต่ก็อยากจะมาแชร์ว่า จริงๆ แล้วชีวิตบอสนี่มันก็ไม่ได้งดงามอย่างที่ทุกคนคิดนะครับ Continue reading “I’m the Boss”

30

30

ผมเพิ่งอายุครบ 30 ปีเมื่อไม่กี่วันนี้ที่ผ่านมานี้เองครับ ในที่สุดชีวิตก็เดินทางมาถึงเลข 3 เวลาช่างผ่านไปเร็วยังกับโกหก ช่วงทศวรรษชีวิตของผมที่ผ่านมาก็ถือว่าเร้าใจไม่น้อยกับหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้น ก็ขอขอบคุณทุกเหตุการณ์ที่ร่วมกันสร้างความทรงจำตลอด 10 ปีมานี้ Continue reading “30”

Life. Change.

Life. Change.

เคยมานั่งคิดๆ ดูไหมครับ ว่าบางคนที่เราอาจจะไม่เคยได้พูดได้คุยอะไรกัน ทำไมช่วงนี้ถึงมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกันแทบจะทุกเมื่อเชื่อวัน

แล้วเคยคิดในทางกลับกันไหมครับว่า มีใครอีกที่เราอาจจะเคยสนิทสนม เคยทักเคยคุยอยู่ทุกวัน แต่ก็นึกไม่ออกว่าคุยกันครั้งล่าสุดเมื่อไหร่

ชีวิตเราก็ตลกดีนะครับ อยู่ดีๆ จากคนที่เคยดีๆ ต่อกัน ก็เปลี่ยนกลายเป็นห่างเหินกันไปได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะใครที่เปลี่ยนไป ครั้นจะมาระลึกได้ตอนนี้ จะทักไปก็รู้สึกแปลกๆ เลยกลายเป็นว่าก็ต้องปล่อยเลยตามเลยให้เรื่องราวจืดจางลงไปเสียอย่างนั้น

น่าเสียดายนะครับ แต่ชีวิตมันก็คงต้องเป็นแบบนี้ เพียงแต่มันก็อดรู้สึกโหวงๆ เมื่อมาสังเกตไม่ได้

แปลกดี

เป็นคนดัดจริต ชีวิตต้องป็อป!

จริงๆ เรื่องที่จะเขียนอาจจะไม่เกี่ยวกับหัวเรื่องเท่าไหร่ แต่พอดีคำนี้มันแล่นเข้ามาในหัว (เผื่อใครไม่รู้จักเพจ “อยู่เมืองดัดจริต ชีวิตต้องป็อป” ก็ลองไปเยี่ยมเยียนได้)

สำหรับตัวผมเอง ก็คงต้องจัดว่าตัวเองเป็นคนที่ privileged เกิดมาค่อนข้างจะมีกินมีใช้อยู่พอสมควร บวกกับเส้นสายที่มีในสไตล์ไทยๆ ถึงจะไม่ได้โยงใยมากมาย แต่ก็คงนับว่าพอตัวถ้าเทียบกับปิรามิดคนไทยทั้งหมด

ถ้าพูดกันตามตรงก็ไม่เคยจะรู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่ประเคนมาในพานแบบนี้หรอกนะครับ แต่ทุกวันนี้ก็พยายามคิดว่าจะใช้ชีวิตกับสิ่งที่มียังไงให้เรารู้สึกพอดี และเราก็ทำอะไรที่มันเป็นชิ้นเป็นอันกับสังคมได้บ้างก็คงดี (ก็คงออกมาในฟอร์มอย่างที่คนอื่นเห็นๆ กัน ซึ่งเวิคไม่เวิคแค่ไหนอันนี้คงนานาจิตตัง)

แต่ประเด็นที่อยากจะมาพล่ามตรงนี้ก็คือว่า พอด้วยความที่เราเป็นคนที่มีอำนาจวาสนาสักหน่อย ก็แน่นอนว่ามันก็ต้องมีคนเข้าหาเราด้วยเหตุเหล่านี้บ้างไม่มากก็น้อย (ถึงจะไม่ตั้งใจยังไง แต่อำนาจที่เรามีมันก็ influence ส่งผลกระทบถึงการกระทำของคนรอบตัวเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้)

เพราะงี้ หลายๆ ครั้งเวลาที่มีคนเข้าหาผม ไม่ว่าจะในเรื่องงาน หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องส่วนตัว ผมเองเลยจะค่อนข้างรู้สึกคิดมากเป็นพิเศษว่า จริงๆ แล้วคนเหล่านั้นเข้าหาเราเพราะอะไร เพราะตัวเราจริงๆ หรืออำนาจวาสนาอะไรที่เรามี คนเหล่านั้นชอบพอที่จะอยู่กับเราจริงๆ หรือแค่เพราะต้องการประโยชน์อะไรบางอย่างจากเรา อันนี้มันก็ชวนให้คิดไปเสียไม่ได้

ใจจริงก็ไม่ได้อยากจะมองโลกในแง่ร้ายนักหรอกนะครับ เพราะผมก็เชื่อว่าโลกนี้มันก็มีคนได้หลากหลายรูปแบบ แต่ด้วยความที่เราเป็นคนคิดมาเสียสักหน่อย มันก็เลยอดเก็บมาคิด (แต่ไม่ทันเอื้อนเอ่ย) เสียไม่ได้

ลึกๆ เรื่องนี้มันก็เลยทำให้ผมเองในสายตาบางคนอาจจะเห็นว่ามีท่าทีที่ค่อนข้าง guarded ตั้งท่ากับคนที่ยังไม่รู้จักมาก และไม่ได้พร้อมที่จะเข้าไปสนิทสนมอะไรกับใครได้เร็วๆ เหมือนอย่างคนทั่วไปกัน และในเรื่องเดียวกันนี้ ก็ทำให้ผมเองหลายๆ ครั้งก็จะเกร็งที่จะเข้าหาใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนๆ นั้นดูเหมือนมีอะไรพิเศษเพราะก็กลัวว่าเขาจะคิดว่าเราต้องการอะไรจากเขาเหมือนกัน

ยากจังนะครับ เป็นคนดัดจริตเนี่ย

ชีวิตต้องป็อป!

Ten-thousands Unspoken Words

หากเธอลองมองไปยังฟ้าแสนไกล และคิดถึงใครหนึ่งคนคุ้นเคย
กี่หมื่นพันคำที่ไม่ทันเอื้อนเอ่ย แต่เธอยังคงเก็บมันไว้ข้างในใจ

จริงๆ ใครๆ ที่ต่อให้ไม่ต้องรู้จักผมมาก ก็คงพอจะรู้ว่าผมออกจะเป็นคนคิดมากอยู่พอตัว (ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่เคยปฏิเสธ)

ผมไม่แน่ใจว่ากับคนอื่นๆ เป็นอย่างไร แต่สำหรับตัวผมเอง ด้วยความที่เราเป็นคนคิดเยอะ ก็มักจะทำให้มีความคิดอะไรหลายๆ อย่างกับคนหลายๆ คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา แต่อาจด้วยหลายๆ เหตุผล ความคิดเหล่านั้น อาจไม่เคยมีโอกาสได้แปรเปลี่ยนเป็นคำพูดที่ถ่ายทอดออกไป

ไม่ว่าจะเพราะโอกาสในชีวิตที่ไม่ลงตัว จนไม่มีโอกาสที่เราจะได้พูดความในใจออกไป

ไม่ว่าจะเพราะตัวเราเองอาจไม่กล้าพอ เพราะกลัวผลตอบรับที่ได้จากการแสดงความรู้สึกเหล่านั้นออกไป

ไม่ว่าจะเพราะเรามีความคิดมากมาย จนไม่มีทางจะพูดออกไปได้หมดไปก่อนที่ผู้ฟังจะรำคาญในความเยอะของเราเสียก่อน หรือต่อให้มีเวลาทั้งชีวิต ก็อาจจะไม่มีทางพูดหมดได้

ไม่ว่าจะเพราะตัวเราเองอาจทนงตน อาจหยิ่ง อาจเขิน อาจอายมากกว่าที่จะแสดงความรู้สึกเหล่านั้น

หรือแม้แต่เพราะเราอาจจะโกรธเกลียด จนรู้สึกว่าไม่แม้แต่จะทนที่จะพูดความรู้สึกเหล่านั้นออกไป


แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สำหรับผมแล้ว สุดท้ายข้อความถึงผู้คนต่างๆ เหล่านั้น มันก็ยังจะคงฝังลึกอยู่ในจิตใจของผม และรอคอยวันเวลาที่จะมารื้อฟื้นเรื่องราวต่างๆ ออกมาให้คนึงถึงเป็นระยะๆ

อาจผู้คนกลุ่มหนึ่งที่อยู่เคียงข้างเราเสมอ ไม่ว่าจะผ่านเรื่องดีเรื่องร้าย และพร้อมที่จะรักไม่ว่าเราเป็นอย่างไรอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่เราเองก็กลับไม่ได้สนใจคนเหล่านี้มากนัก

อาจเป็นคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา และทำให้เรารู้สึกถึงความรักที่เราไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน จนทำให้เรารู้สึกว่าเรื่องราวนี้ทำให้ชีวิตของเราผ่านมาถึงครึ่งทางแล้ว

อาจเป็นคนที่เปิดโอกาสให้เราทำในสิ่งที่เป็นเหมือนลมหายใจของเราในช่วงหลายปีมานี้ และแม้จะมีความขัดแย้งในหนทางเดินจนทำให้เราไม่สามารถเข้าใจกันเหมือนเดิมได้ แต่ก็ยังรู้สึกขอบคุณสำหรับจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่นั้นเสมอมา

อาจเป็นคนที่เราอาจเคยไม่ชอบหน้า และรู้สึกรำคาญที่มาก้าวก่ายงานของเรา แต่เวลาผ่านไปเราก็กลับปรับตัวเข้าหากันได้อย่างเหลือเชื่อ และเป็นคนหนึ่งที่เราก็ไว้ใจว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเราในวันยากๆ เสมอ จนไม่รู้จะเอ่ยคำขอบคุณอย่างไร

อาจเป็นคนที่เราเคยรู้สึกว่าคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง แต่ในช่วงเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมานี้ เขาคนนี้ก็ยังเป็นเหมือนเสาหลัก (ที่หนักมาก) ให้เรากลับไปพึ่งพาได้เสมอๆ และเราก็อยากให้เขากลับเขามาในชีวิตของเราจริงๆ

อาจเป็นคนแปลกๆ ที่ใครๆ อาจขบขันในท่าทีที่ดูผิดจากคนธรรมดา และแม้ชีวิตเราจะไม่ได้พูดคุยกันมากมายในช่วงสิบกว่าปีมานี้ แต่ก็เป็นคนที่ผ่านไปผ่านมาบนหน้าจอคอมฯ ของเราเสมอ และทำให้เรารู้สึกเสมอว่าเขาไม่เคยหายไปไหน

อาจเป็นรุ่นน้องคนหนึ่งที่เคยเห็นเราเป็นไอดอล แต่เพราะเวลาที่ทำให้เราในฐานะคนธรรมดาเปลี่ยนแปลงไป จนอาจไม่ใช่คนที่น่าประทับใจอย่างในวันนั้น อาจทำหลายๆ อย่างให้เขาผิดหวัง หรือเขาเองอาจดำเนินชีวิตไปในทิศทางที่ต่างไปจากเรา แต่เราก็ยังคงภูมิใจที่มีโอกาสได้หล่อหลอมเขาคนนั้นแม้ในช่วงเวลาสั้นๆ

อาจเป็นแค่รุ่นน้องสองสามคนที่เพราะเหตุการณ์ยากๆ ในชีวิตของเราทำให้เราได้สนิทกันมากขึ้น แม้เราอาจไม่เคยได้กล่าวคำขอบคุณสำหรับกำลังใจในช่วงเวลานั้น และแม้เวลาที่ผ่านไปจะพาให้เราห่างหายไปบ้าง แต่เราก็ยังรู้สึกเสมอว่าพวกเขาคือคนที่เข้าใจทุกการกระทำที่อาจดูซับซ้อนในสายตาคนอื่นเสมอ

อาจเป็นคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราในช่วงเวลาสั้นๆ และทำให้หัวใจของเรากลับเข้มแข็งขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่าสุดท้ายความลับของเราสองคนจะต้องจบลงไปพร้อมความเจ็บปวด แต่มันก็ทำให้ใจที่เคยคิดว่าตายไปแล้ว พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ อีกครั้ง

อาจเป็นคนที่เคยหลอกลวงเราอย่างเลือดเย็น ที่แม้ในทุกวันนี้เราอาจลืมๆ ความรู้สึกโกรธเกลียดนั้นไปแล้ว แต่เราก็นึกขอบคุณเหตุการณ์นั้นที่ทำให้เราเข้มแข็งขึ้นบ้างแม้เพียงเล็กน้อย

อาจเป็นกลุ่มคนที่มาช่วยสานความฝันในเรื่องดนตรีที่เคยเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ และทำให้เราเหมือนมีงานสนุกๆ อีกอย่างที่เราเฝ้ารอในทุกๆ วันที่อยากจะทำมัน ในชีวิตที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดจากความฝันอันยิ่งใหญ่ที่แสนท้าทายนี้

อาจเป็นรุ่นน้องรุ่นไกลๆ คนหนึ่งที่เราก็ดูไม่น่าจะผ่านมาเจอกันได้แล้ว แต่ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราเข้าใจกันได้มากกว่าที่คิด และเห็นคุณค่าของเวลาอย่างที่ไม่เคยรู้สึก ถึงสุดท้ายแล้วคนๆ นี้จะไม่ได้มีส่วนร่วมกับความฝันของเรามากมายจนเราอาจรู้สึกน้อยใจได้ในบางครั้ง

อาจเป็นสาวๆ ขาเม้าท์ที่เคยเต็มที่กับความฝันของเรา แต่เพราะตัวเราเองอาจทำตัวให้พวกเขาผิดหวัง จนหลายๆ ครั้งเรานึกย้อนไปก็ยังรู้สึกผิดกับความผิดพลาดเหล่านั้นเสมอ

อาจเป็นคนที่ในอดีตเราเคยใช้อารมณ์และอีโก้ของเราขับไล่ไสส่งเขาออกไปอย่างไม่มีเหตุผล แต่เมื่อเวลาผ่านมา คนๆ นั้นก็กลับให้อภัยเรา และยังแวะเวียนมาช่วยเหลืองานต่างๆ ของเราอยู่เรื่อยๆ ราวกับเรื่องผิดใจในอดีตนั้นไม่เคยเกิดขึ้น

อาจเป็นคนที่รักคิวบิกฯ มากจนเราเองก็ไม่เคยเข้าใจในทุกความรู้สึกน้อยใจที่เขามี และหลายๆ ครั้งเราก็รู้สึกสิ้นหวัง ท้อแท้กับการพยายามทำให้คนๆ นั้นพอใจ แต่เราก็ยังอยากบอกว่าเราก็พยายามเต็มที่แล้ว และเสียใจกับความเสียใจที่เขาคนนั้นต้องแบกรับเสมอมา

อาจเป็นเพื่อนๆ ที่เราทอดทิ้งพวกเขาไปในเวลาที่พวกเขาต้องการเรามากที่สุด อาจเพราะความอ่อนแอหรือสิ้นหวังกับการศึกษาของเราเองก็ตามแต่ แต่เราก็อยากบอกพวกเขาว่าเราดีใจที่ยังได้เป็นส่วนหนึ่งกับพวกเขาบ้าง แม้อาจไม่เท่าคนอื่นๆ แต่ก็ทำให้เราชื่นใจได้ว่าเราก็ยังมีเพื่อนที่เรากลับไปหาได้เสมอ

อาจเป็นคนที่เราก็ไม่แม้แต่จะรู้จักว่าเขาเป็นใคร แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนั้นก็เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปตลอดกาล และทำให้เราเองรู้สึกมีสติ และเห็นคุณค่าของชีวิตของเราเองมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยคิดว่าเราจะคิดได้มาก่อน

อาจเป็นคนที่ได้มาร่วมสร้างฝันกับเราแม้เป็นเวลาสั้นๆ แม้ว่าหลักความคิดที่แตกต่างจะแยกทางเรากันออกไป แต่เราก็ยังอยากขอบคุณกับสิ่งดีๆ ที่ผ่านมาตรงนั้น และหวังเสมอว่าเขาก็จะเข้าใจเราเหมือนที่เราเข้าใจเขา

อาจเป็นคนที่จดจำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของเราได้มากมาย แต่เราก็ยังทำอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้เขาน้อยเนื้อต่ำใจ แต่เราก็อยากบอกว่าเราเสียใจที่เราไม่สามารถแคร์เขาได้มากเท่ากับที่เขาแคร์เรา อาจแค่เพราะคำไม่กี่คำที่เขาไม่ตั้งใจจะบอกออกมาแต่มันยังกัดกินใจเรา แต่เราก็รู้สึกดีใจที่ชีวิตนี้มีโอกาสได้รู้จักคนอย่างเขา และชื่นใจทุกครั้งที่ได้รับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จากเขา

อาจเป็นคนที่เราต้องตัดสินใจให้เขาจากเราไป แม้ว่าเขาจะรักและอยากที่จะอยู่เคียงข้างเราแค่ไหนก็ตาม แม้ว่าเราจะไม่มีโอกาสได้บอกเหตุผลจากในใจของเราทั้งหมดออกไป แต่เราก็หวังเสมอว่าเขาจะเข้าใจเรา และสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อย่างเข้มแข็ง

อาจเป็นคนที่เปรียบเสมือนศัตรูตลอดกาลของเรา แม้ว่าเราอาจเคยมีช่วงเวลาที่ดีต่อกัน แต่ความเลวร้ายหลังจากนั้นก็ทำร้ายความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายอย่างที่ไม่มีวันกู้คืนได้ แม้ว่าจะนึกย้อนไปก็ทำให้เรารู้สึกโกรธเกลียดเล็กๆ ได้เสมอ แต่เราเองก็ดีใจที่วันนี้เรื่องราวเหล่านั้นเหมือนจะเงียบหายไปแล้ว

อาจเป็นกลุ่มคนที่เราเคยไว้ใจ แต่เพราะด้วยอีโก้ของพวกเขาที่เลือกที่จะทำอย่างที่ใจต้องการ แม้ว่าเราจะพยายามช่วยเหลือแล้ว แต่เราก็ยังคงไม่ให้อภัยกับความเลวร้ายและความหน้าไหว้หลังหลอกที่คนกลุ่มนั้นทำ และความเกลียดชังเหล่านั้นก็พร้อมจะให้เราหัวเราะเยาะกับทุกการสะดุดของพวกเขาในชีวิตที่เหลืออยู่

อาจเป็นคนที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรที่ดีกับเรา แต่เราก็เกลียดในความเป็นนกสองหัวของเขามากๆ และรู้สึกแย่กับความรู้สึกที่เหมือนเราถูกหลอกใช้ ความรู้สึกแย่ๆ นี้ก็ยังคงอยู่ และเราก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อฉุดดึงเขาคนนั้นลงมาให้ป่นปี้ แม้ต้องแลกด้วยทุกอย่างที่เรามีก็ตาม

หรืออาจเป็นคนที่แม้ไม่ตั้งใจ แต่ก็ได้หักหลังเรา และทำให้เราเสียเวลา และเสียความรู้สึกกับอีกคนหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย และแม้ว่าเราจะอยากให้อภัยเขาคนนี้แค่ไหน แต่เราก็ยังทำไม่ได้จริงๆ

ฯลฯ

คงจะดีไม่น้อย ถ้าสักวันหนึ่ง ผมจะมีโอกาสได้พูดความคิดเหล่านี้กับพวกเขาทั้งหมดเหล่านั้นด้วยความสบายใจ

แต่ในเวลานี้ ความรู้สึกเหล่านี้ ก็คงจะเก็บซ่อนอยู่ในใจลึกๆ ของผมต่อไปอย่างน่าเสียดาย

Life, flow, connected.

20110504-193914.jpg

จริงๆ ตอนนี้ผมยังอยู่ที่ปราณบุรี เป็นจังหวะที่กำลังมาเที่ยวกับน้องๆ ในคิวบิกฯ (ที่นานๆ จะจัดกันได้สำเร็จสักทีหนึ่ง) การมาที่นี่ก็มีเหตุการณ์สะท้อนใจอยู่หลายเรื่องพอดูนะครับ เพียงแต่วันนี้มีเหตุเกิดอีกนิดหน่อย และผมคงรู้สึกอัดอั้นจนต้องพยายามพิมพ์บล็อกนี้บน iPad ก่อนที่จะกลับไปเขียนเรื่องอื่นๆ บนคอมที่บ้านอีกทีนึง

วันนี้มีการประกาศผลแอดมิชชัน หรือก็คือการประกาศว่าใครจะได้ติดมหา’ลัยไหนบ้าง จากที่เลือกไว้ 4 อันดับ

จริงๆ เหตุการณ์แบบนี้มันก็มีอยู่ทุกปีนะครับ แต่ปีนี้ดูจะเป็นหลักระยะทางในชีวิตผมเองสักหน่อยตรงที่มีน้องใกล้ๆ ตัวผมอยู่สองสามคนที่ต้องผิดหวังกับผลที่ได้รับ จากที่ปกติถ้าไม่ใช่คนใกล้ตัว ก็มักจะได้ตามที่หวังกันไว้ไม่ได้ผิดเพี้ยนอะไรมากมาย

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดูจะสะกิดใจผมอยู่สองประเด็น เรื่องหนึ่งก็คงเป็นเรื่องของระบบการศึกษา และสังคมแห่งความคาดหวังที่คิดว่าบล็อก “ปริญญา ค่านิยม สังคมไทย” ของพอคงจะสะท้อนได้ชัดเจนอยู่พอสมควรอยู่แล้ว

อีกเรื่องหนึ่งคงเป็นการที่ผมรู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าน้องบางคนจะดูพยายามที่จะเก็บความรู้สึกผิดหวังไว้ แต่ผมก็อดจะรู้สึกเศร้าไปด้วยเสียไม่ได้ แม้ว่าผมเองจะไม่ค่อยต้องเครียดและลงทุนลงแรงอะไรมากมายกับการเข้ามหา’ลัย (เผื่อใครไม่ทราบ ผมได้โควต้าตั้งแต่ ม.4 เลยทำให้ช่วง ม.ปลายชิวมาก) แต่ผมเองก็อาจจะพอจินตนาการได้ถึงความตั้งใจของน้องๆ ที่ต้องขยันขันแข็งดูหนังสือเรียนพิเศษต่างๆ ด้วยความกดดัน และยิ่งเราพยายามมากเท่าไหร่ เมื่อผลไม่เป็นดังหวัง เราก็ยิ่งล้มเจ็บลงมากเท่านั้น

ที่น่าสังเกตคือ ผมรู้สึกเศร้าไปกับความผิดหวังนี้ด้วยอย่างบอกไม่ถูก จนรู้สึกอัศจรรย์ใจขึ้นมาว่า ชีวิตของคนเราจะเกี่ยวพันกันได้ขนาดนี้

จริงๆ เพราะเรื่องนี้เอง คงเป็นสิ่งที่ทำให้การให้มีอยู่บนโลกใบนี้ เพราะเราจะร่วมมีความสุขกับความสุขของคนที่ได้รับ แม้ว่าเราจะต้องเสียอะไรไปบางอย่างจากการให้นั้นเอง

และเช่นเดียวกัน ผมจึงอดที่จะต้องเจ็บปวดไปด้วยไม่ได้ ในค่ำคืนริมทะเลแห่งนี้

Money Money

วันนี้จะมาโพสท์เรื่องเงินๆ ทองๆ บ้างครับ

ตอนสมัยเรียน ผมจำได้ว่าลิ้งค์เคยพูดว่า “คบกับคนที่มาฐานะเท่าๆ กันน่ะแหละสบายใจสุดแล้ว” ถึงตอนนั้นผมจะเข้าใจว่าลิ้งค์จะสื่อถึงการคบเป็นแฟนกัน แต่ก็ยังเห็นด้วยกับสถานการณ์ทั่วๆ ไป แม้ว่าจะยังไม่เคยประสบปัญหาอะไรในลักษณะดังกล่าวก็ตาม

หลายปีให้หลัง ผมเริ่มจะรู้สึกเสียแล้วสิ

ประเด็นก็คือในช่วงปีกว่าๆ มานี้ ผมมีโอกาสได้อยู่กับคนที่ทั้งมีฐานะสูงกว่าเราพอสมควร กับคนที่อาจพูดได้ว่าไม่ได้มีสภาพคล่องเท่ากับผมเท่าไหร่นัก (พยายามจะหาคำพูดที่ไม่ offense กระทบ แต่ไม่แน่ใจว่าหาได้ดีกว่านี้มั้ย) ก็ต้องพูดตามตรงว่า มีเรื่องชวนอึดอัดใจอยู่พอสมควรครับ

ในด้านหนึ่งถ้าเราเป็นคนที่มีกำลังจ่ายน้อยกว่า เวลาไปไหนมาไหนด้วย เราก็จะรู้สึกเกรงใจถ้าเราจะไม่สามารถกินหรือใช้อะไรที่มันสมฐานะหรือเป็นระดับที่อีกฝ่ายคุ้นเคยได้ (เพราะเราจ่ายไม่ไหว) ในขณะเดียวกัน จะให้อีกฝ่ายจ่ายให้ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนพอสมควร

ในทางกลับกัน พอเราไปอยู่กับคนที่อาจจะใช้สอยน้อยกว่าเรา หลายๆ ครั้งที่เราอาจจะอยากกินอะไรอยากใช้อะไรที่มันหรูหราสักหน่อยก็จะรู้สึกอึดอัดกระวนกระวาย ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอะไรหรือเปล่าที่เรากินอะไรใช้อะไรหรูกว่าเขา จะหาว่าเราเป็นพวกอวดรวยมั้ย? อย่างเช่นอาจจะสั่งอาหารสั่งน้ำอะไรที่มันแพงหน่อย หรือจะดูหนังแถวบน ฯลฯ ครั้นจะแบ่งให้ หรือออกเงินให้ก็กลัวว่าจะเป็นการ offense ดูถูกหรือเปล่า สรุปก็คืออึดอัดไปหมด

ถ้าให้พูดตามตรง ก็เลยต้องบอกเลยครับว่าถ้าเวลาจะไปเที่ยวไหนมาไหน ก็อยากจะไปกับคนที่มีกำลังจ่ายพอๆ กับเรา ไม่มากกว่าหรือน้อยกว่าเกินไปนัก เพราะก็ทำให้เราไม่ต้องคิดมาก บวกกับได้ซื้อได้ใช้ของในระดับที่เราพอใจพอดี

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะคบกับคนที่ฐานะทางการเงินไม่เท่ากันไม่ได้หรอกนะครับ เพียงแต่ให้พูดตามตรง ถ้าไม่ใช่ว่าสนิทหรือรู้ใจกันมากๆ ถึงระดับหนึ่งแล้ว มันก็คงจะกระอักกระอ่วนอยู่พอสมควร ถ้าสนิทกันจริงๆ เราก็คงไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดอะไร และก็คงพูดอะไรได้อย่างตรงไปตรงมา

พูดถึงเรื่องเงินๆ อีกอย่างทุกวันนี้ก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน ว่าจะต้องแสดงออกถึงฐานะของตัวเองมากแค่ไหนถึงจะพอดี (ตั้งแต่มีปัญหาเรื่องคิวบิกฯ) เมื่อก่อนพยายามทำตัว low-profile เงียบๆ เจียมๆ ก็ชวนให้คนสงสัยว่าเอาเงินมาจากไหน พอพยายามแสดงฐานะตัวเองหลังๆ มานี่ก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบเวลาถูกประชดประชันเรื่องเงินๆ ทองๆ สักเท่าไหร่ (แต่จริงๆ อาจจะต้องทำใจเพราะอย่างไรก็คงมีเรื่องให้โดนด่าอยู่ดี)

ปล. ถึงจะนอกเรื่อง แต่ก็ยังยืนยันจุดยืนเล็กๆ ของตัวเองว่าไม่มีเงินจ่ายซอฟท์แวร์ลิขสิทธิ์ ไม่ใช่ข้ออ้างในการละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ทุกวันนี้ก็เซ็งที่เวลาเถียงอะไรทำนองนี้แล้วจะถูกแดกดันกลับว่าเพราะเรามีปัญญาจะจ่ายเลยไม่เข้าใจคนไม่มีเงินจะจ่าย เฮ้อ… (แต่ปากดีไปเรา ทุกวันนี้อัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ก็ยังไม่ลงถึง 0% ดี ฮา…)

อีกหนึ่งในหกพันล้านเรื่องรักไม่รู้จบ

วันนี้ผมมีโอกาสได้ดูคลิปวีดีโอนี้ ที่รตาแชร์ไว้บน Facebook ครับ

ถ้าให้พูดตามตรง ก็คือผมไม่ได้รู้จักทั้งสองคนในวีดีโอนี้เป็นการส่วนตัวหรอกนะครับ แต่ด้วยความที่ทั้งสองคนเจอกันที่โรงเรียนสาธิตเกษตร และวีดีโอนี้เองก็พยายามท้าวความเรื่องตั้งแต่สมัยเรียนที่โรงเรียน ความรู้สึกมันเลยอาจจะกระแทกใจคนสาธิตเกษตรมากกว่าชาวบ้านชาวช่องเสียสักหน่อย

ผมคิดว่าคงไม่เยอะมากนะครับ ที่ใครที่จะคบกันเป็นแฟนตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน แล้วยาวยืดต่อไปจนถึงแต่งงาน ในทางเดียวกัน ผมก็รู้สึกว่ากลุ่มคนพวกนี้โชคดีมากเลยครับ เพราะถือว่าเป็นคนที่ได้สัมผัสรสชาติของการมีคู่ครบถ้วนทุกรสชาติ ตั้งแต่การเป็นเด็กๆ กุ๊กกิ๊กไม่คิดอะไร ค่อยๆ เติบโตผ่านคืนวันที่ดีและร้ายของความสัมพันธ์และโลกภายนอก จนตกลงปลงใจที่จะอยู่ร่วมกันทั้งชีวิต

ถึงช่วงเวลาคบกันเป็นแฟนจนถึงการแต่งงาน จะถือได้ว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่แท้จริงที่จะกินระยะเวลาไปอีกทั้งชีวิต แต่โอกาสที่จะได้เติบโตพร้อมๆ กับคนที่เราเลือกเนี่ย มันก็คงหาได้ยากจริงๆ ครับ

ส่วนผมเอง ไม่ต้องห่วง เลยวัยเรียบร้อย

ถึงจะไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว ก็ขอแสดงความยินดีกับทั้งสองคนด้วยครับ