US Trip 2017 – Day 21

US Trip 2017 – Day 21

ในวันนี้หลังจากที่สลบกันจากเมื่อวาน กว่าจะตื่นกว่าจะออกจากโรงแรมก็เก้าโมงกว่า โดยแผนในวันนี้คือขับย้อนกลับมาทาง Universal City เพื่อไป Universal Studios Hollywood กัน โดยทำใจไว้แล้วว่าไม่ต้องรีบมาแต่เช้า เพราะไม่น่าจะต้องต่อคิวอะไรนานมากเพราะคนไม่น่าเยอะ Continue reading “US Trip 2017 – Day 21”

US Trip 2017 – Day 20

US Trip 2017 – Day 20

วันนี้ก็เริ่มต้นก็รีบตื่นกันตั้งแต่เช้าเพราะอยากจะไป Disney Parks ให้ทันตั้งแต่ก่อนเปิด แต่จนแล้วจนรอดกว่าจะจอดรถกว่าจะไปถึงก็สักเก้าโมงกว่าๆ (ช้าไป 1 ชม.) ซึ่งเนื่องจากเรามีเวลาเพียงวันเดียว เลยตัดสินใจที่จะไป Disney California Adventure Park แทน Disneyland Park เพราะมีเครื่องเล่นใหม่พอดี Continue reading “US Trip 2017 – Day 20”

Fujikawaguchiko Trip 2017 – Day 4

Fujikawaguchiko Trip 2017 – Day 4

ในวันนี้แผนการของเรามีง่ายๆ แค่ว่าจะไปเที่ยวสวนสนุก Fuji-Q Highland แล้วก็คืนรถ ก่อนที่จะนั่งรถบัสกลับโตเกียว บล็อกวันนี้จะจบอย่างรวดเร็วเพราะไม่มีอะไรเลย เป็นการเดินเที่ยวตามครอบครัวเสียมากกว่า เพราะไม่ได้มาเอง สุดท้ายเลยไม่ได้รีบทำเวลาเล่นนั่นเล่นนี่ให้คุ้มอะไรมากมาย Continue reading “Fujikawaguchiko Trip 2017 – Day 4”

KUL/HAN Trip 2016 – Day 4

KUL/HAN Trip 2016 – Day 4

เนื่องจากเมื่อคืนจองห้องที่ Sheraton ไว้แบบ Club Room ตอนเช้าก็เลยมาทานข้าวเช้าที่ Sheraton Club Lounge แบบชิคๆ พร้อมส่งผ้าซักฟรีสองตัว ก็ส่งกางเกงขายาวกับเสื้อเชิตไปซัก Continue reading “KUL/HAN Trip 2016 – Day 4”

JP/US 2014 – Day 9

หลังจากที่เมื่อวานเราพลาดท่ากับ Tokyo Disneyland มาแล้ว เราจึงหมายมั่นตั้งใจว่าในวันนี้เราจะไม่พลาดกับ Tokyo DisneySea อีก เลยแหกดากถ่อกันไปให้ถึงตั้งแต่ก่อนส่วนสนุกเปิด ก็พบความระทึกใจอีกอย่างว่า ขนาดเราไม่ต้องต่อคิวซื้อตั๋วแล้ว (เพราะซื้อแล้วตั้งแต่เมื่อวาน) แค่แถวรอคิวจะเข้าสวนสนุกก็ยาวไปถึงมัลดีฟ! เลยกลายเป็นว่าเราต้องใช้เวลาอีกประมาณ 30 – 40 นาทีกว่าจะได้เข้าสวนสนุก

ทันทีที่เข้าไปได้ เราก็รีบเทเลพอร์ตไปที่ Tower of Terror และใช้มุกเดิมคือจิ้ม FastPass คู่ไปด้วย หลังจากนั้นก็พยายามบริหารเวลาอย่างดีเยี่ยมทั้งการต่อแถวและจิ้ม FastPass จนสุดท้ายสามารถเล่นอันหลักๆ ได้เกือบหมด แม้กระทั้งม้าหมุน จะพลาดไปมากๆ ก็มีแค่ Toy Story Mania ซึ่งเป็นของใหม่ และดันไม่สามารถจะแย่งชิงได้ไหว

และเนื่องจากวันนี้เรามาตั้งแต่เปิด และมีแรงอยู่พอจนถึงปิด เลยมีโอกาสได้ถ่ายรูปเล่นและได้ดูโชว์กลางคืนด้วย แต่น่าเสียดายที่เนื่องจากลมแรง จึงทำให้ดอกไม้ไฟถูกยกเลิกไป (เซ็งเป็ด)

IMG_0960

IMG_0980

IMG_0987

หลังจากนั้นเราก็เดินทางกลับ โดยตอนแรกตั้งแต่ว่าจะแวะที่สถานี Tokyo เพื่อแวะไปกินซูชิ 80 เยนที่เคยเจอเมื่อวันก่อน แต่เนื่องจากกว่าจะเดินทางไปถึงก็ดึกมากแล้ว พร้อมกับไม่แน่ใจทาง เราจึงเปลี่ยนใจเลี้ยวเข้าร้านซูชิที่เดินผ่านอีกร้านนึงแทนซึ่งราคาแพงกว่า แต่แทนผู้เชี่ยวชาญด้านซูชิบอกว่าเริศกว่ามาก แต่ว่าฉันเองไม่ได้กินเพราะว่าแพงไป ขอขโมยรูปของแทนมาอวด

IMG_0977

IMG_0978

หลังจากนั้นก็เดินทางกลับที่พักใน Kanda และก็จบไปอีกวัน พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ได้อยู่ในญี่ปุ่นแล้ว

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

JP/US 2014 – Day 8

สำหรับวันนี้และพรุ่งนี้เรามีกำหนดการที่จะเที่ยว Tokyo Disney Resort กันครับ โดยที่ในวันนี้จะไป Tokyo Disneyland ก่อน ส่วนในวันพรุ่งนี้ถึงจะไป Tokyo DisneySea ตอนแรกก่อนที่จะมาก็พอคาดเดาไว้แล้วว่า จำนวนคนที่มาน่าจะเยอะกว่าที่เคยมาช่วงเดือนธันวาคมอยู่พอสมควร เลยจะต้องทำเวลารีบมาตั้งแต่เปิด แต่พอมาถึงแล้วก็พบว่า แม่เจ้า! คนเยอะกว่าที่คิดไว้อีกสี่ล้านห้าแสนหกหมื่นเจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเท่า จนกลายเป็นว่ากว่าเราจะซื้อตั๋วจนเข้าไปในสวนสนุกได้ ก็ใช้เวลาปาเข้าไปเป็นชั่วโมงแล้ว

IMG_0827

พอเข้าไปได้ อย่างแรกที่ไปเล่นก่อนเลยคือ Space Mountain โดยจิ้มทั้ง FastPass และต่อแถวไว้ ใช้เวลาต่อคิวประมาณเกือบ 2 ชม. ได้ แล้วตอนที่เล่นเสร็จตอนแรกก็กะว่าจะไปเล่น Big Thunder Mountain Railroad ต่อ แต่ปรากฎว่ามันปิดอยู่ เลยไปเดินๆ ต่อคิว/กด FastPass อย่างอื่นแทน สุดท้ายได้เล่นแค่ Space Mountain 2 รอบ, It’s a Small World, Haunted Mansion, Star Tours, Beaver Brothers Explorer Canoes และ Dumbo Ride (อันสุดท้ายนี่งี่เง่าจริงๆ)

IMG_0847

IMG_0886

IMG_0897

สำหรับของกิน ทีแรกแอบวางแผนไว้ว่าจะลักลอบเอาโอนิกิริเข้าไป แต่พอตอนเช้ารีบๆ เลยไม่ทัน ต้องกินแต่ของแพงๆ ในดิสนีย์แลนด์ แต่ก็แอบประทับใจไอศกรีมแซนด์วิชรูปมิกกี้เมาส์อันนี้เป็นพิเศษ (ราคา 300 เยน จะบ้า)

IMG_0940

จนสุดท้ายพอเรากำลังตัดสินใจว่าจะกลับ ก็เหลือบไปเห็นว่า Big Thunder Mountain เปิดแล้ว และ FastPass ก็หมดเกลี้ยง เลยเดินไปถามพนักงานอย่างมีความหวังว่าตอนนี้ถ้าต่อคิวกี่นาที ได้คำตอบกลับมาว่า 3 ชั่วโมง เลยบายกลับดีกว่า (ก่อนกลับ ขอทิ้งท้ายตามกระแสเซลฟี่)

IMG_0947

หลังจากพอกลับออกมากำลังจะกลับไปที่พักที่ Kanda ก็ค้นพบกับความระทึกใจอีกอย่างคืน เราหาล็อกเกอร์ที่ฝากกระเป๋าไว้ที่สถานี Tokyo ไม่เจอ! ต้องใช้เวลาทำเควสตามหาอีกชั่วโมงกว่าๆ เดินไปเดินมา กว่าจะกลับถึงที่พักและได้กินข้าวเย็นก็ปาเข้าไป 3 ทุ่มได้

เราจึงหมายมั่นตั้งใจว่า พรุ่งนี้จะต้องไม่พลาดอย่างนี้อีกแล้ว!

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

JP/US 2014 – Day 2

กำหนดการหลักๆ ในวันนี้คือการไปเที่ยว Fuji-Q Highland ที่เป็นสวนสนุกอยู่ใกล้ๆ กับภูเขาไฟฟูจิ การเดินทางต้องขึ้นรถบัสจากสถานี Shinjuku ไป ความพลาดในวันนี้เริ่มต้นที่เราออกเดินทางจากที่พักได้ช้าไปหน่อยเพราะดันตื่นสายและอีดอาดเอง จนทำให้ไปถึง Shinjuku ได้ค่อนข้างช้า ความโง่ต่อมาคือเราไม่ได้จองรถบัสเอาไว้ เพราะเนื่องจากครั้งก่อนที่เคยมาเมื่อ 4 ปีที่แล้วสามารถมาจองหน้างานได้แล้วก็ว่างๆ เลย แต่คราวนี้เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอมหรืออาจะเป็นฤดูกาลเที่ยว ดูเหมือนว่าจะมีคนเดินทางไป Fuji-Q มากกว่าที่คิดไว้ เลยทำให้รอบรถบัสที่ได้เลทออกไปอีก ตอนนั้นเราจึงมีเวลาเดินหาอะไรกินแถว Shinjuku ก็ได้พบกับร้านนี้ ก็อร่อยดีและไม่ค่อยแพง

IMG_0206

จนไปถึง Fuji-Q ประมาณเที่ยงก็ตกใจเพราะคนเยอะกว่าที่คาดหวังไว้มาก แม้ว่าจะแพลนว่าจะมาวันอังคารแล้วก็ตาม เดาว่าน่าจะเป็นช่วงปิดเทอมหรืออะไรสักอย่าง จนทำให้สุดท้ายต้องรอคิวนานมาก และได้เล่นเครื่องเล่นเด่นๆ ของ Fuji-Q Highland ได้แค่ 2 เครื่องจาก 4 เครื่อง คือ Eejanaika กับ Takabisha

สำหรับอันแรก Eejanaika เป็นโรลเลอร์โคสเตอร์แบบที่ที่นั่งจะหมุนได้ 360 องศา บวกกับการตีลังกาหล่นไปมาของรางก็โหดอยู่พอสมควรเหมือนกัน เผื่อใครไม่เห็นภาพขอขโมยภาพมาแปะตามนี้

1

ส่วนเครื่องที่สอง Takabisha เป็นของใหม่ที่ครั้งที่แล้วยังไม่มี เป็นเครื่องเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์ที่ได้ลงประวัติว่าชันที่สุดที่ 121 องศาโดย Guiness World Record ถ้างงว่า 121 องศาเป็นยังไงดูตามรูป (แต่ยังสงสัยว่า แล้วพวกตีลังกานี่มันวัดองศาว่าเกิน 121 ไม่ได้เรอะ)

thrill-seekers-point-at-the-takabisha-with-a-free-falling-angle-of-121-degrees-pic-afp-357174527

ตัวโรลเลอร์โคสเตอร์จะประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นส่วนในอาคารเป็นที่มืด กับส่วนที่สองจะหลุดออกมานอกตัวอาคาร ช่วงแรกจะเป็นแบบใช้แรงดันออกไป จะมีแค่ช่วงหลังก่อนหล่น 121 องศาที่จะเป็นใช้โซ่ลากขึ้นในแนว 90 องศา รถเป็นแบบ 1 คันต่อขบวน 8 คนต่อคัน 2 แถว แถวละ 4 คน มีเวลาเล่นรวมประมาณ 2 นาที

พอเล่นเสร็จกลับออกมาก็จนสวนสนุกปิดพอดี มานั่งคิดเลขดูพบว่าอีห่าราก ถ้ารู้งี้ซื้อแบบแยกเครื่องเล่นไปยังจะถูกกว่าตั้งเยอะ ไม่น่าพลาดซื้อแบบเหมารวมทั้งวันเลย

และเนื่องจากความโง่ที่ไม่จองรถบัสจนกำหนดการในวันนี้เลท เราจึงต้องทำเวลาสุดๆ พอมาถึง Shinjuku เพื่อเหาะไป Tokyo Station ให้ทัน 4 ทุ่ม ซึ่งจะเป็นเวลาที่ Shinkansen ขบวนสุดท้ายที่จะไป Nagoya เป้าหมายต่อไปของเราออกเดินทาง

ตอนที่อยู่ Tokyo ก็หิวมากเพราะไม่ได้กินข้าวเย็น และต้องรีบกินอย่างรวดเร็ว ก็เดินๆ หาแล้วตกลงว่าเจอร้านไหนร้านแรกจะกินเลย ปรากฏไปเจอร้านสเต็กที่หรูหราและอร่อยมาก น่าเสียดายที่เราต้องกระเดื๊อกเข้าไปให้หมดใน 10 นาทีเพื่อให้ทันรถไฟ ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมความอร่อยและความน่ารัก[1]ของพนักงาน

เมื่อไปถึง Nagoya เราก็ไปพักที่บ้านโฮสต์จาก Airbnb ชื่อว่า Koji ซึ่งก็ได้บรรยากาศบ้านบ้านสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ เราได้พักในห้องชั้น 3 ตามภาพนี้ ก็ถือว่าอยู่ได้อบอุ่นดี น่าเสียดายที่กว่าจะไปถึงก็เที่ยงคืนกว่าๆ แล้ว จึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับ Koji มาก

IMG_0320_2

ความน่าตื่นเต้นของการพักที่บ้าน Koji คือในตอนกลางคืนระหว่างที่หลับไปแล้ว อยู่ๆ แทนก็ร้อง “อ๊า…!” ออกมา แว้บแรกผมก็คิดในใจว่าเห้ยละเมออีกแล้วปะวะ เพราะคืนที่แล้วตอนนอนที่แคปซูลก็มีละเมอมาสองสามครั้ง แต่เพื่อความแน่ใจก็เลยถามไปทีนึงว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แทนก็บอกว่ารู้สึกว่าโดนผีหลอก เป็นผีอำ ขยับตัวไม่ได้ แล้วรู้สึกมากๆ ว่ามีคนมาจับที่ไหล่ ซึ่งก็ไม่ใช่ฉันแน่ๆ เพราะก็นอนอยู่ดีๆ แถมไหล่ฝั่งที่โดนจับเป็นอีกฝั่งหนึ่ง หลังจากนั้นแทนก็เล่าสิ่งที่ฝันโดยละเอียดก่อนจะรู้สึกว่าโดนหลอก ไอ้เราก็เหี้ยละ เลยกลัวไปด้วย นอนไม่หลับกันทั้งสองคน สุดท้ายกลัวกันไปกลัวกันมา กว่าจะได้หลับก็ประมาณตี 4 ตี 5 ได้ จะบ้า!

[1] เฉพาะผู้อ่านผู้ชายที่มีรสนิยมชื่นชอบช่องคลอด หรือผู้อ่านที่มีช่องคลอดและชื่นชอบผู้หญิง

หมายเหตุ: โพสท์นี้เป็นโพสท์ย้อนหลัง

Once again, my spirit, awakes.

เมื่อวานผมมีโอกาสได้ไป Universal Studios Singapore อีกครั้ง (เป็นครั้งที่ 2) ครับ

จริงๆ ก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้ไปอีกครั้งเร็วขนาดนี้หลังจากที่ไปมาครั้งที่แล้วตอนเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่เนื่องจากเป็นผู้ประสบภัยและอพยพหนีมาอยู่กับพี่สาวที่สิงค์โปร์ ก็ไม่รู้จะทำอะไรดี ไหนๆ ก็ไหนๆ ก็เลยคิดว่าไปเที่ยวอีกสักครั้งก็ดี เพราะก็เป็นคนชอบเที่ยวสวนสนุกอยู่แล้ว

โดยปกติ สวนสนุกจะเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของผมเวลาไปเที่ยวที่ไหนเลยนะครับ ถ้าถามผมเวลาไปเที่ยวต่างประเทศ ผมจะไม่ค่อยสนใจพวกการเดินดูศิลปวัฒนธรรม ชมเมือง ดูวิถีชีวิต หรือพิพิธภัณฑ์อะไรทั้งหลายแหล่สักเท่าไหร่ (ยกเว้น Museum of Sex ที่ NY)

ปกติถ้าผมไปเที่ยวที่ไหน ผมเล็งอยู่สองสามอย่างเท่านั้นครับ คือสวนสนุก อาหาร และช็อปปิ้ง

เพราะงั้นตั้งแต่ผมไปญี่ปุ่นตอนนั้น แผนการเดินทางของผมก็จะชัดเจนมากครับ คือไปสวนสนุกให้ครบ แต่ว้งวัดอะไรเนี่ยไม่ต้อง จะสวยจะงามแค่ไหนก็ช่างหัวมัน

ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมเองคงจัดตัวเองได้ว่าเป็นคนที่หลงไหลในสวนสนุกอยู่พอสมควร

ประสบการณ์สวนสนุกของผมตั้งแต่เด็กๆ คงเริ่มต้นตั้งแต่การไปแดนเนรมิต ซึ่งกว่าจะได้ไปเที่ยวเอง (แบบไม่ใช่ติดสอยห้อยตามผู้ปกครอง) ก็ตอนช่วง ม.ต้น ที่มันก็จะปิดซะแล้ว หลังจากนั้นเมื่อสบโอกาส (โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงปิดเกษตรแฟร์) แทบทุกๆ ปีผมก็จะไปดรีมเวิล์ดเสมอๆ

ที่ผมมักจะติดใจกับสวนสนุกพวกนี้ที่สุดก็คงเป็นสารพัดเครื่องเล่นกรี๊ดกร๊าดน่ะแหละครับ (สรุปคือเป็นคนชอบเล่นเสียว) ดังนั้นเวลาไปเที่ยวพวกนี้ ก็มักจะซื้อบัตรแบบไม่อั้น แล้วก็เล่นมันทั้งวันอยู่สองสามเครื่องเล่นเป็นเกือบสิบรอบ มีครั้งหนึ่งที่ผมเคยไปดรีมเวิล์ดแล้วเล่นเฮอร์ริเคนสัก 18 รอบก็มี จำได้ว่าเล่นจนพี่ที่เค้าคุมจำได้ ตอนรอบสุดท้ายก่อนสวนสนุกปิด พี่แกเลยจัดเต็มซะนานกว่าปกติสัก 3 เท่าได้ ถึงขนาดพูดออกไมค์เลยว่า “ยังไม่ยอมกลับกันใช่มั้ย”

แต่มุมมองที่ผมมีต่อสวนสนุกก็ต้องพลิกกลับไปพอสมควร หลังจากที่ผมได้มีโอกาสไป Tokyo Disney Resort เมื่อสามสี่ปีที่แล้ว จากความคาดหวังที่จะมาเล่นเสียวในสวนสนุกอย่างเดียวแบบแต่ก่อน ผมก็รู้สึกถึงอะไรที่มากกว่าของการเป็นสวนสนุก

สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้จาก Tokyo Disney Resort ตอนนั้นคงเป็นกลิ่นไอของความสุข ที่มันมีอยู่ทุกที่ ทุกรายละเอียด ตั้งแต่วินาทีที่เราย่างเท้าก้าวเข้าไป

อาจฟังดูเวอร์ แต่ผมยังไม่เคยไปสวนสนุกของที่ไหนนอกจากของ Disney ที่ทำให้มันมีอารมณ์แบบนั้นได้จริงๆ แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการที่ทีมงานทุกคนยิ้มแทบจะตลอดเวลา ที่ยังไม่เคยเจอที่ไหน (แม้แต่ Universal Studios) ทำได้อย่างของ Disney

เพราะงั้น การมาเที่ยว USS ของผมในครั้งนี้ แม้ว่าจะรื่นรมย์และได้เสียวตามสภาพแล้ว ก็ยังอดที่จะหงุดหงิดในจุดเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายจุดที่ทำอย่าง Disney ไม่ได้อีกพอสมควร

จริงๆ ตั้งแต่เด็กๆ ผมก็เคยฝันนะครับว่า สวนสนุกเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะมีโอกาสได้ทำ (ไม่ว่าจะในทางใดก็ทางหนึ่ง นอกเหนือจากธุรกิจการศึกษา และธุรกิจอุตสาหกรรมบันเทิงแล้ว) แม้ว่าในประเทศไทยนี่อาจจะยากอยู่สักหน่อยที่ค่าครองชีพอาจจะต่ำเกินกว่าที่จะรองรับธุรกิจระดับนี้

สำหรับตัวผมเอง ไม่ได้นิยามว่าสวนสนุกคือที่ที่จะต้องมีเครื่องเล่นที่หวาดเสียวที่สุด หวือหวาที่สุด หรือกิจกรรมที่ตื่นเต้นที่สุดแต่อย่างใด

หากแต่เป็นสถานที่ที่ซึ่งแม้ใครได้ย่างเท้าก้าวเข้ามาแม้เพียงก้าวแรก ก็ต้องยิ้มได้ทันที

อาห์…เล่น RollerCoaster Tycoon ดีกว่า