Half-Life

ในคืนวันที่ 24 ธันวาคม 2552 เมื่อผมนัดเดทกับคนๆ หนึ่งเพื่อมาทานข้าวกลางวันด้วยกันในวันรุ่งขึ้นที่สยาม หลังจากที่พูดคุยกันผ่านโปรแกรมจับคู่เดทบน iPhone กันได้อยู่สักพัก โดยสิ่งที่ผมรู้ตอนนั้นมีเพียงว่าเขาเป็นหมอ ทำงานอยู่ที่อเมริกา และกลับมาเยี่ยมเมืองไทยช่วงปีใหม่นี้

และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

เมื่อวันคริสต์มาส ผมอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านไปตามเวลาที่นัดหมาย เมื่อถึงสถานีสยาม ผมโทรหาเบอร์โทรศัพท์ที่ได้รับไว้ ก่อนที่จะโทรไปยังเบอร์นั้น และได้ยินเสียงของเขาเป็นครั้งแรกผ่านเครื่องตอบรับอัตโนมัติ โดยไม่กี่อึดใจถัดมา เขาโทรกลับหาผม และบอกว่าอยู่ที่ทางออกหมายเลข 4

ผมรีบมุ่งหน้าไปยังทางออกหมายเลข 4 และหลังจากที่ผมแตะบัตร BTS ออกมาแล้ว ผมก็ได้พบกับคนๆ หนึ่ง คนที่เข้ามาทำให้ผมได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างอย่างที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้รับรู้มาก่อน

ในตอนแรก เขาบอกว่าเขาอยากกินส้มตำนัว แต่หลังจากที่เดินไปสำรวจแล้วก็พบว่ามีคนต่อคิวเยอะมาก จนสุดท้ายเราจึงมาจบที่ร้าน Oldies Cafe ที่สยามเซ็นเตอร์ เรามีโอกาสได้พูดคุยและรู้จักกันมากขึ้นระหว่างที่กินข้าว ยิ่งผมได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของเขา ผมทึ่งและประทับใจกับทัศนคติ ความคิด และสติปัญญาของเขา ต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดมาก ฉลาดจนผม intimidate รู้สึกถูกกดดันว่าตัวเองนั้นช่างโง่เหลือเกิน ในตอนนั้นผมยอมรับว่าออกจะหงุดหงิดรำคาญการพูดการจาบางอย่างของเขาเสียด้วยซ้ำ แต่ความประทับใจในสิ่งที่อยู่ในหัวของเขาดูจะกลบความรู้สึกนี้ไปเสียหมด (ผมมาทราบทีหลังว่า ความหงุดหงิดรำคาญของผมแสดงออกมา จนเขาเองไม่รู้สึกประทับใจการสนทนานั้น และอยากรีบๆ กลับตอนนั้นเสียด้วยซ้ำ)

หลังจากนั้นเราก็ไปดูหนังจีนเรื่อง Storm Warriors 2 กันต่อ ซึ่งในด้านของผมก็คงเพื่อยืดเวลาที่จะอยู่ต่อ ในขณะที่ทางฝั่งเขาที่มองว่าเป็นการฆ่าเวลาจะได้ไม่ต้องคุยกันเพราะรำคาญ ทุกวันนี้เวลาผมนึกไปก็อดที่จะขำไม่ได้ หลังจากที่ดูหนังเสร็จ และนั่ง Starbucks สักพัก ทางผมเองก็ถึงเวลานัดหมายกับกลุ่มพวกน้องๆ คิวบิกที่เซนทรัลเวิล์ด ตอนนั้นเองที่ผมตัดสินใจรวบรวมความกล้า และถามไปว่าหลังจากที่ผมเสร็จจากที่เซนทรัลเวิล์ดแล้ว จะมาเจอกันอีกดีไหม จนทุกวันนี้เองก็ยังเป็นปริศนาของผมว่า เขาตอบตกลงทำไมวะ? (ก็รำคาญกูไม่ใช่หรอไงมึง?)

สุดท้ายคืนนั้นเราก็ได้ดูหนังอีกเรื่อง นั่นคือ October Sonata โดยหลังจากที่ดูหนังเสร็จ เราก็ใช้เวลาทั้งคืนที่เหลือในการพูดคุย (สาบานว่าพูดคุยอย่างเดียวจริงๆ ไม่มีอย่างอื่น สำหรับคนที่คิดไปไกล) ถึงเรื่องราวของแต่ละคน ผมเองก็ได้พาเขาไปดูไซต์ก่อสร้าง PlayCube และเล่าถึงคิวบิกฯ (ซึ่งมารู้ทีหลังว่า เป็นอะไรที่เขาออกจะประทับใจมาก) มีการคุยกันเล่นๆ ว่าคืนนี้น่าจะขับรถไปต่างจังหวัดใกล้ๆ อย่างบางแสน และจากการพูดคุยในคืนนั้นเองก็ทำให้ผมรู้ว่า เขาเองมีนัดที่จะไปหัวหินกับเชียงใหม่ ไหนจะต้องเคลียร์อะไรๆ หลายๆ อย่าง จนเราสองคนน่าจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกก่อนที่เขาจะกลับไปที่อเมริกา

เขาขับรถมาส่งผมที่บ้านตอนรุ่งเช้า ผมเข้าบ้านและสั่งอาหารเช้าแมกโดนัลด์มากิน ก่อนที่จะเข้านอน พร้อมกับตัดสินใจที่จะทิ้งคืนที่ผ่านมาไว้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในจิตใจที่งดงาม โดยในวันนั้นหลังจากที่ผมตื่น เราก็มีการพูดคุยกันผ่านโปรแกรมบน iPhone บ้างประปราย

จนกระทั่ง…

ในเย็นนั้นเอง โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นพร้อมกับรูปเขาที่หน้าจอ ผมกดรับ

“สวัสดีครับ?”
“ยังอยากไปเที่ยวบางแสนอยู่ไหมครับ?”

ปฏิกิริยาของผมในตอนนั้น ทั้งตอนคุยโทรศัพท์ และหลังจากวางไปแล้ว คงไม่ต่างจากเหมยลี่ตอนที่คุณลุงชวนไปเที่ยวสงกรานต์ ถ้าใครนึกภาพไม่ออก คลิก

เขาขับรถพาผมไปเที่ยวบางแสน พักที่รีสอร์ทกำนันเป๊าะหนึ่งคืน บทสนทนาหนึ่งในคืนนั้นคือ

“อยากให้ผมเรียกเนี่ย (ทำมือชี้ไปที่เขา) ว่ายังไง มีทั้งชื่อ XXX ทั้งชื่อ YYY”
“อยากเรียกผมยังไงก็เรียกไปเถอะครับ”
“งั้นผมเรียกว่าเนี่ยแล้วกัน”

หลังจากนั้น ผมจึงเรียกเขาว่า “เนี่ย” มาโดยตลอด นึกแล้วก็ตลกดี วันรุ่งขึ้นเราก็เดินเล่นนอนเล่นอยู่ที่บางแสนสักพัก แวะเที่ยววัดจีน กินอาหารทะเล ก่อนที่จะเดินทางกลับในช่วงเย็น โดยที่ต่างรู้ดีว่า อาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

ระหว่างทางที่ขับรถกลับ ผมก็ถามเขาเล่นๆ ว่าชอบผมที่ตรงไหน หลังจากที่เขาตอบผมมาสองสามข้อ เขาก็ถามผมกลับด้วยคำถามเดียวกัน ตอนนั้นผมก็ค่อยๆ นึกเรื่องราวที่ผ่านมา และก็ค่อยๆ ตอบมาทีละข้อ

จากทีแรกที่ผมก็คิดว่ามันจะมีแค่สองสามข้ออย่างที่เขาตอบ แต่พอยิ่งนึก มันก็ยิ่งมีคำตอบโผล่ออกมาให้ผมพูดได้เรื่อยๆ จนเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ทำไมกันนะ ทั้งๆ ที่ผมโชคดีที่ได้เจอคนที่แสนวิเศษแบบนี้ แบบที่ผมไม่เคยได้มีโอกาสเจอมาก่อน เวลาจะต้องแสนสั้นแบบนี้ด้วย

ผมร้องไห้…

เขาหยุดรถที่ข้างทางมอเตอร์เวย์ ปลอบผมจนสงบ ก่อนที่จะถึงจุดแวะพัก และวิ่งลงไปซื้อชานมอย่างที่ผมชอบจาก Starbucks มาให้ผม

สุดท้าย แทนที่เราจะแยกย้ายไปในคืนนั้น เราตัดสินใจใช้เวลาด้วยกันอีกหนึ่งคืน ก่อนที่จะแยกย้ายไปในตอนเช้า และหลังจากนั้น เราก็แทบจะใช้เวลาเท่าที่มี (ส่วนใหญ่เป็นกลางคืน) เพื่อที่จะพยายามอยู่ด้วยกันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จนเขาเองถึงกับยกเลิกที่จะไปเชียงใหม่

จนถึงเช้าวันที่ 2 มกราคม 2553 ซึ่งเป็นกำหนดเดินทางของเขา เรานั่งแท็กซี่ไปที่สุวรรณภูมิ ในช่วงเวลาเงียบๆ นั้น ผมอดที่จะคิดทบทวนถึงเรื่องที่ผ่านมา รวมถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดในอนาคตไม่ได้ เมื่อถึงสนามบิน โชคร้ายที่ไฟลท์ของเขานั้นดีเลย์ จนอาจจะทำให้ไม่สามารถต่อเครื่องที่ฮ่องกงทัน เขาจึงจำเป็นต้องรีบไปอีกไฟลท์หนึ่ง ทำให้เวลาที่เราเหลืออยู่อีกสักเกือบชั่วโมงนั้น หายไปในพริบตา

ผมนั่งแท็กซี่กลับคนเดียว…

หลังจากนั้น เราก็ติดต่อกันเรื่อยมา ทั้งส่งเมสเสจ เฟซบุ๊ก และ Skype ซึ่งตอนนั้นเองที่เขาได้บอกความจริงกับผมบางอย่าง และทำให้ผมเพิ่งค้นพบว่า เขามีอายุมากกว่าผมถึง 19 ปี (ยอมรับว่าเป็นคนที่ไม่มีเซนส์ในการดูหน้าและกะอายุเอาเสียเลยจริงๆ เลยเรา) แต่ผมเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับประเด็นนี้นะครับเอาเข้าจริงๆ แล้ว

จนสุดท้าย แม้ว่าเราสองคนจะรู้ดีว่าทุกอย่างมันคงจะไม่เวิค แต่เราก็ยังพยายามฝืน จนทำให้ผมไปอเมริกาเป็นเวลา 1 เดือนในช่วงปลายฤดูหนาว ซึ่งถึงอากาศจะหนาวสุดใจ แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่แสนอบอุ่น ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าคนที่อ่านนี้จะมีใครมีประสบการณ์ไหม แต่มันไม่มีอะไรที่เรารู้สึกดีไปกว่าการที่เราตื่นขึ้นมาและพบว่ามีคนกอดเราอยู่ข้างๆ

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ว่ามันไม่มีปัญหาอะไรเลยนะครับ ในสภาพที่ผมอยู่ๆ ไปอยู่แปลกที่ ผมมีเขาเป็นคนรู้จักอยู่คนเดียว (กับเพื่อนที่เรียนอยู่ 5 – 6 เมืองถัดไป ซึ่งก็ไม่ได้จะเจอกันได้บ่อยๆ) กอรปกับสภาพเมืองที่ต้องขับรถ ผมก็ขับรถไม่เป็น ไม่รู้เรื่องวัฒนธรรมอะไรหลายๆ อย่างในการดำรงชีวิตในสังคม ทำให้การใช้ชีวิตของผมออกจะ depend ขึ้นกับเขาไปมากเสียหน่อย ซึ่งถ้าพูดกันตามตรงมันก็คงน่ารำคาญสำหรับคนอย่างเขาไม่น้อย

และสำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน พูดคุยกันผ่านเทคโนโลยีต่างๆ ตลอด การมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจริงๆ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างรวดเร็วเกินไป จึงทำให้มีการกระทบกระทั่ง หรือการสร้างความอึดอัดให้กันและกันเป็นระยะๆ

อายุเองก็เป็นอุปสรรค บางเรื่องที่คนยุคผมอาจทำเป็นเรื่องปกติอย่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทวีทนู่นทวีทนี่ หรือเขียนบล็อกตีแผ่ชีวิตตัวเองแบบเอ็นทรี่นี้ก็อาจจะเป็นเรื่องขัดหูขัดตาของเขา และถึงผมจะไม่รู้สึกอะไรเพราะเป็นฝ่ายอายุน้อยกว่า แต่สำหรับคนอายุมากกว่า การเดินไปไหนมาไหนด้วยกันกับคนอายุน้อยกว่ามากๆ ในที่สาธารณะก็คงรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง

ถึงกระนั้น หลังจากที่ผมกลับมา เราก็ยังคงติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ จนถึงกลางปีที่ได้ไปเที่ยวมัลดีฟเกาะเสม็ดด้วยกัน และผมไปอเมริกาอีกครั้งในช่วงฤดูร้อนของอเมริกา จนถึงวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น ผมอดที่จะร้องไห้เสียใจกับการเล่นตลกของโชคชะตานี้ไม่ได้ แต่เอาเข้าจริงๆ ผมร้องไห้นี่ออกจะเป็นเรื่องปกติ

แต่คืนนั้นเอง เมื่อผมเดินขึ้นมาบนห้องนอนเพื่อเตรียมตัวเข้านอนตามปกติ ผมเจอเขาในสภาพตาแดงๆ นี่ออกจะเป็นภาพที่แปลกตาสำหรับผม และคงสำหรับเขาเองซึ่งเป็นคนที่เข้มแข็งกว่าผมนัก

ผมใจสลาย…

ถ้าถามผม ผมเองรู้สึกพอใจกับสภาพต่างๆ ในความสัมพันธ์นี้อยู่ไม่น้อย สำหรับผม สิ่งที่ผมอาจจะเพียงต้องการคงเป็นความรู้สึกที่เรารู้ว่ามีคนที่เรารู้สึกดีด้วยจริงๆ นั้นห่วงใยเรา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน เขาจะทำอะไรอยู่ แค่การแสดงออกเล็กๆ อย่างข้อความหรือโทรศัพท์สั้นๆ ก็ทำให้ผมมีความสุขได้ไม่น้อย การได้อยู่ด้วยกันเป็นระยะๆ เป็นสิ่งที่ผมรับได้

แต่สำหรับตัวเขาเอง นี่อาจไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ กับคนที่เคยมีความสัมพันธ์กินอยู่กับคนอื่นเป็นสิบๆ ปีก่อนหน้านี้ เขาคงต้องการคนที่อยู่กับเขา ใช้ชีวิตอยู่กับเขา และปราศจากเรื่องจุกจิกกวนใจอย่างอายุ หรือการต้องคอยดูแลนู้นนี่ และการต้องเห็นผมหายไปจากบ้านของเขาอยู่บ่อยๆ คงทำร้ายจิตใจของเขาพอดู

หลังจากนั้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจนถึงปีใหม่ที่ผมป่วย ผมเองยังสองจิตสองใจในเรื่องนี้อยู่เสมอ ใจหนึ่งที่ยังคงหวังให้ความสัมพันธ์นี้ดำเนินต่อไป กับอีกใจหนึ่งที่อยากจะให้จบลง

ในช่วงเวลาดังกล่าว ผมพยายามจะเดทกับคนนู้นคนนี้มากมายแทบตาย โดยในใจหวังลึกๆ ว่าจะเจอใครที่ทำให้ผมลืมเรื่องราวเหล่านี้ได้

แต่ผมก็ได้เรียนรู้ว่า ยิ่งผมเจอผู้คนมากมายเท่าไร ยิ่งทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ผมโชคดีแค่ไหนที่ได้เจอเขา

ปีใหม่ที่ผ่านมาที่ผมป่วย เขาเดินทางกลับมาเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นเราก็ไม่มีโอกาสได้เจอกัน หากพูดกันตามตรง ผมเองก็รู้สึกเหมือนเขาเลี่ยงที่จะไม่เจอผม แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเพราะเขาอยากจะตัดใจจากผมให้ได้ หรือเขามีใครคนใหม่ นั่นก็คงไม่ใช่กงการอะไรของผม ผมควรจะดีใจด้วยซ้ำ ที่อย่างน้อย เขาก็ลืมได้แล้ว

และจนถึงเวลานี้ ที่มีหลายๆ อย่างในชีวิตผมที่เปลี่ยนไป ยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้ว่า ผมเองไม่มีวันที่จะเป็นคนที่เขาต้องการได้

สิ่งที่ผมต้องการที่สุด คือการได้เห็นเขา พบเจอกับสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขจริงๆ ซึ่งสำหรับคนที่เพียบพร้อมอย่างเขา มันคงไม่ได้ยากเย็นเกินไปนัก

ถ้าการสานต่อความสัมพันธ์นี้ จะนำไปสู่แววตาของเขาในคืนนั้นอีกครั้ง ผมคงทนไม่ได้

เพราะฉะนั้นบางที…อาจจะถึงเวลาแล้วจริงๆ…

อย่างน้อย ผมก็ได้รู้จักกับคนๆ หนึ่ง ที่เราคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันต่อไป และหวังว่าจะตลอดไป

และถ้าผมต้องใช้เวลาครึ่งชีวิตของผมที่จะโชคดีได้เจอเขา ผมก็หวังว่า อีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ผมจะยังโชคดีได้อีกบ้าง ความหวัง ทำให้คนเราก้าวเดินได้เสมอ ผมเองถือว่าการเขียนบล็อกนี้ คือการส่งผ่านเรื่องราวให้กลายเป็นอดีต และผมเองก็พร้อมที่จะ move on ดำเนินชีวิตต่อไป

 

อาจเป็นแค่เพราะ 10,000 ไมล์กับ 19 ปีมันมากเกินไป ต่อให้พยายามกันแค่ไหน มันก็คงไม่พอ…

 

บางวันผมก็แอบน้อยใจกับโชคชะตานะครับ ทั้งๆ ที่ผมเองคิดว่าพยายามใช้ชีวิตมาเพื่อคนอื่นเสมอ ผมทุ่มเทหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อความฝันที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง แต่ทำไมโชคชะตาก็ยังจะกลั่นแกล้งผมนัก

จะมีไหมสักวัน ที่ผมจะสามารถทำฝันให้เป็นจริงได้ โดยไม่ต้องทำร้ายใครเลย

และจะมีไหม ที่ผมจะมีความสุขอย่างที่ใฝ่ฝัน โดยไม่ทำให้ใครต้องเจ็บปวด

อย่างน้อย ผมก็พยายามเฝ้าบอกว่าผมเองก็โชคดีแค่ไหน ที่เกิดมาพร้อม และมีครอบครัวที่ดีขนาดนี้…

 

 

และถึงเราจะเดทกันมาเกือบปี แต่คงเป็นเพราะเราเดทกันแบบอเมริกันหน่อยๆ ที่การใช้คำว่ารักดูจะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง เราเองไม่เคยได้พูดคำนี้กันสักครั้งไม่ว่าฝ่ายไหน ซึ่งอาจจะขัดกับสไตล์ไทยๆ เสียหน่อย

และในโอกาสนี้เอง ถึงจะเป็นข้อความไทยๆ ในภาษาอังกฤษข้างเดียว ผมก็อยากจะบอกว่า

I love you krub. 🙂

5 thoughts on “Half-Life

  1. ความรักเป็นสิ่งสวยงาม

  2. และสำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน พูดคุยกันผ่านเทคโนโลยีต่างๆ ตลอด การมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจริงๆ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างรวดเร็วเกินไป จึงทำให้มีการกระทบกระทั่ง หรือการสร้างความอึดอัดให้กันและกันเป็นระยะๆ

    >>> จะน้อมรับประโยคนี้ไว้เตือนตนเองนะครับ

    พี่ณัชเจ๋งสุด ๆ เลยฮะ

  3. ณัชสู้ๆ อย่า depress มากนะ ตาม cycle แล้วใช้เวลา 2-3 เดือนก็เลิกคิดไป
    จากประสบการณ์ พอหายแล้ว มีคนใหม่มา คนใหม่จะเหมาะสมขึ้นเรื่อยๆนะถึงแม้ว่าตอนนี้อาจไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น
    แล้วก็การจะถึง goal หรือมีความสุขได้ ถึงบางทีทำอะไรส่งผลกระทบต่อคนอื่นบ้าง แต่ถ้าไม่ได้ตั้งใจ ก็หวังว่าสุดท้ายเค้าก็คงไม่ถือสาไร

    เออ โปรแกรมชื่อไร แนะนำหน่อยดิ

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s