อยากจะบอกว่า W เป็นแบรนด์ที่อยากจะมีโอกาสสัมผัสมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสสักที คือถ้าพูดตามตรงด้วยภาพลักษณ์อะไรต่างๆ ของ W เป็นอะไรที่ถูกจริตเป็นการส่วนตัวมาก แต่เพราะราคามันก็ค่อนข้างสูง ที่ผ่านมาเลยยังไม่มีจังหวะจะได้ไปอุดหนุนสักเท่าไหร่ (ก่อนหน้านี้ไป Los Angeles อยากจะบ้าจี้ไปพัก W Hollywood คุณพอก็ไม่ยอมบ้าจี้ด้วย)

มาถึงรอบนี้ โอกาสเหมาะที่ฮ่องกงโรงแรมมันก็แพงอยู่แล้ว กับจังหวะที่เจอว่ามันมี Starwood Luxury Privileges ที่รวมพวกสิทธิพิเศษของโรงแรมในแบรนด์ St.Regis, W และ Luxury Collection แต่มีข้อแม้คือต้องจองผ่านเอเจนซี่เท่านั้น ซึ่งก็ต้องกราบขอบพระคุณคุณ Ford (คู่หมั้น Lucky เว็บ One Mile At A Time ที่ไปจ๊ะเอ๋เจอมาที่สนามบิน SGN) ผู้เป็นธุระในการจองให้

สุดท้ายก็คือจองได้ในเรท HKD2,970 รวมทุกอย่างแล้วสำหรับ 1 คืน (ประมาณ 12,000 บาท) โดยรวมสิทธิประโยชน์ตามโปรแกรม Starwood Luxury Privileges ดังต่อไปนี้

  • พักคืนที่ 4 ฟรี (กรณีนี้ก็ไม่ได้ใช้เพราะว่าพักคืนเดียว)
  • HKD750 เครดิตสำหรับอาหารและเครื่องดื่มที่ WOOBAR ต่อการเข้าพัก (พักคืนเดียวเลยยิ่งคุ้ม)
  • อาหารเช้าสำหรับ 2 คนที่ห้องอาหาร Kitchen (อันนี้ถ้าเป็น SPG Platinum ก็ยอมแลกด้วย 500 Starpoints ได้อยู่แล้ว)
  • อินเทอร์เน็ตในห้องพัก (อันนี้น่าจะไม่นับเพราะก็ควรจะมีอยู่แล้วไม่ว่าจะจองทางไหน)
  • อัปเกรด, เช็คอินเร็ว, เช็คเอาท์ช้า, โดยขึ้นกับห้องว่าง (อันนี้ในส่วนของอัปเกรดและเช็คเอาท์ช้าก็เป็นสิทธิ์ของ SPG Platinum อยู่แล้ว)

ซึ่งตอนจองครั้งนี้ก็มีการใช้สิทธิ์ Suite Night Award ของ SPG ด้วย และก็ได้รับคอนเฟิร์มว่าได้อัปเกรดเป็น Fabulous Suite (ห้องสวีทระดับพื้นฐาน) ก่อนเข้าพัก 5 วัน แต่พอวันที่เช็คอินเข้าไปดูในแอป SPG ก็ถึงพบว่าโรงแรมอัปเกรดให้อีกเป็น Marvelous Suite (ห้องสวีทระดับที่ 2 จากที่มีทั้งหมด 4 ระดับ) ก็ตื่นเต้นมากไปใหญ่เลยทีนี้

Check-in

โรงแรมก็ตกแต่งในสไตล์ของ W คือจะเน้นชิคๆ ทันสมัยหน่อย โดยทางเข้าโรงแรมจะอยู่ที่ชั้น 1 ในตึกเดียวกับที่มีห้างชื่อ Elements และพอเข้ามาก็จะต้องขึ้นลิฟต์มาชั้น 6 เพื่อมาที่ล็อบบี้

บนพื้นในลิฟต์มีจอขึ้นข้อความตามช่วงเวลาของวัน

พอมาที่ล็อบบี้ก็ไปเช็คอิน โดยข้อสังเกตอย่างนึงคือไม่ได้มีช่องแยกสำหรับ SPG Gold/Platinum อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ต้องรอคิวนานแต่อย่างใด

พอระหว่างกำลังเช็คอิน General Manager ชื่อคุณ Peter ก็เดินเข้ามาทักพร้อมกับเรียกชื่อเราได้ทันที (รู้สึกเป็น VIP มาก) แล้วก็พูดคุยกันเล็กๆ น้อย พอเราบอกว่ามาฮ่องกงรอบนี้มาเดินเทรล เขาก็บอกว่าเนี่ยคนส่วนใหญ่ไป Dragon’s Back แต่จริงๆ ตรงเหนือๆ ของฮ่องกงฝั่งแผ่นดินใหญ่มีอีกที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ แล้วเขาก็บอกว่าเดี๋ยวจะให้ทีม Whatever/Whenever (ชื่อเก๋ๆ ของ concierge กองซีแอชที่ W) พิมพ์ข้อมูลเอาไปให้ที่ห้องนะ

ตอนระหว่างเช็คอิน เจ้าหน้าที่ที่เช็คอินก็ถามว่าอยากจะเอา Welcome Gift เป็นอะไร โดยมีตัวเลือกระหว่าง 500 Starpoints กับตุ๊กตาหมา เราก็เลยขอดูว่าเออมันเป็นยังไง เขาก็หยิบตุ๊กตาหมามาให้ดู แล้วก็บอกว่า ไม่เป็นไร เอาไปทั้งสองอย่างเลยแล้วกัน (เออ ง่ายเว้ย)

หมา W มีวางไว้ในมินิบาร์ของห้องด้วย ราคา HKD180 (แต่อันนี้ได้ฟรี)

สุดท้ายก็เช็คอินเรียบร้อย ได้เป็นห้อง 3211 ชั้น 32 และก็ให้กุญแจมา พร้อมกับจดหมายสรุปสิทธิพิเศษของ SPG Platinum ซึ่งที่เพิ่มมาแบบแปลกๆ ก็คือนอกจากน้ำเปล่าแบบธรรมดาที่กินไม่อั้นแล้ว ยังให้ Evian อีกคนละขวดต่อวัน

ตำแหน่งห้อง 3211 Marvelous Suite
รายการสิทธิประโยชน์ของ SPG Platinum

Suite Room

ห้องที่ได้อัปเกรดมาเป็นห้อง Marvelous Suite เป็นห้องสวีทที่อยู่มุมของตึก เป็นฝั่งที่เห็นวิวทะเล (ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของฝั่ง Kowloon) ที่มีขนาดใหญ่มาก ตามข้อมูลในเว็บบอกว่าห้องมีขนาด 80 ตารางเมตร

เดินเข้ามาในห้องทางด้านซ้ายก็จะมีห้องน้ำแบบมีแต่ส้วม ตรงต่อเข้ามาก็จะเจอมินิบาร์ขนาดยักษ์ทางขวามือ และก็เป็นห้องนั่งเล่นมีโซฟาใหญ่ยักษ์ มีโต๊ะทานข้าว และมีทีวีจอยักษ์ พร้อมตัวรับ Bluetooth ของ Belkin

เดินเข้ามาต่อทางขวาก็จะเป็นห้องนอน สามารถเลื่อนประตูมาปิดได้ทั้งหมด ห้องนอนก็จะเป็นมุมที่มีกระจกสองด้านพอดี มีโต๊ะทำงานที่มีเครื่องเขียน มีเย็บกระดาษ มีเทปกาว และมีโทรศัพท์ Handy ที่สามารถเอาออกไปใช้เป็น Wi-Fi Hotspot ข้างนอกได้ตามสมัยนิยม

นอกจากนี้ตรงหัวเตียงก็จะมีปุ่มปรับไฟ กับปุ่มเปิดหรือปิดม่าน โดยเลือกได้ทั้งจะปิดแบบมืดสนิท หรือปิดแค่กันให้แสงผ่านได้หน่อยๆ

พอเดินถัดเข้ามาอีกก็จะเป็นห้องน้ำใหญ่ยักษ์ มีห้องส้วม ห้องอาบน้ำพร้อมอ่างอาบน้ำที่อยู่ริมกระจก สามารถนอนอาบน้ำเห็นวิวได้ และด้านในมีตู้เสื้อผ้าแบบวอล์กอิน ของแปลกที่เจอคือลูกกลิ้งกาวสำหรับดูด lint ออกจากเสื้อผ้า (ภาษาไทยเรียก lint ว่าอะไรนะ?)

สำหรับเครื่องใช้ในห้องน้ำก็เป็นตามมาตรฐานทั่วไป ที่จะรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยคือขนาดต่อขวดมันใหญ่จังแต่ละอย่าง และความพีค (ที่แอบรู้สึกเปลือง) คือวันรุ่งขึ้นแม้ว่าจะเป็นวันเช็คเอาท์แล้ว แต่แม่บ้านมาทำความสะอาดห้องตอนกลางวัน ก็เปลี่ยนที่พร่องๆ เป็นขวดใหม่หมดเลย

สรุปทั้งหมดทั้งมวลคือรู้สึกว่าห้องพักมันสุดยอดมาก น่าจะเป็นหนึ่งในห้องที่ชอบที่สุดแล้วในบรรดาโรงแรมที่เคยๆ ไปมา

Facilities

สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ในโรงแรมที่ไปเช็คดูอย่างแรกก็คือ Business Center อยู่ที่ชั้น 8 ซึ่งก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เป็นโซน มีคอมพิวเตอร์ มีเครื่องพิมพ์ และมีเจ้าหน้าที่นั่งเฝ้าอยู่คนนึง

ส่วนยิม (เรียกว่า FIT) จะอยู่ที่ชั้น 73 ก็มีอุปกรณ์ต่างๆ ครบครันดี เครื่องเล่นใช้ยี่ห้อ Technogym (แบบเดียวกับที่ Virgin Active) และเครื่องเวทต่างๆ ก็มีแบบเฉพาะแต่ละส่วนแยก ไม่ใช่แบบเครื่องเดียวเล่นทุกอย่าง นอกจากนี้ก็มีน้ำดื่ม ผ้าขนหนู อ่างล่างหน้า และแอปเปิลให้ มีหูฟังสำหรับใช้กับพวกเครื่องออกกำลังกาย และมีโปรตีนขาย

ที่ชั้น 73 เดียวกันนี้ก็จะมีล็อกเกอร์ ห้องอาบน้ำ จากุซซี่ ซาวน่า และสตีม ซึ่งใช้ร่วมกับทั้งยิมและสปา (เรียกว่า bliss) ที่อยู่ชั้น 72 ซึ่งในส่วนของจากุซซี่เป็นแบบเห็นวิวจากชั้น 73 ได้บรรยากาศดีมาก

น่าเสียดายที่ช่วงที่ไปสระน้ำ (เรียกว่า WET) ปิดทำการอยู่ เลยไม่ได้ไปชม มันอยู่ชั้น 74 คิดว่าน่าจะยิ่งเจ๋งน่าดูเหมือนกันสำหรับวิว

Dining

สำหรับอาหารเช้าจะเป็นบุฟเฟต์ที่ห้องอาหาร Kitchen โดยตัวเลือกอาหารมีให้ค่อนข้างเยอะ แต่น่าจะยังไม่เยอะเท่า The Westin Singapore แต่ถ้าดูที่เรื่องของการนำเสนอจัดวางอะไรพวกนี้แล้ว โดยส่วนตัวรู้สึกว่า W Hong Kong ดีกว่ามาก

ข้อสังเกตคืออาหารเช้าจะหนักไปทางพวกขนมปังอะไรพวกนี้ซะมาก (มาแนวเดียวกับ The Athenee Hotel Bangkok) แต่อาหารปรุงร้อนจะดูมีอัตราส่วนน้อยๆ กว่า อาหารที่ทำให้สดๆ ได้จะมีสารพัดเมนูไข่กับก๋วยเตี๋ยว อาหารที่ดูวัตถุดิบว้าวที่สุดน่าจะเป็น Lobster Egg Benedict แต่ทานแล้วก็ไม่ได้อร่อยขนาดนั้น

ที่ชอบมากเลยคือการที่ทำเครื่องดื่ม น้ำผลไม้ และนมมาเป็นขวดๆ แบบนี้ หยิบง่าย และเก๋มาก

ถัดมาอย่างที่ว่าไว้เนื่องจากว่ามีเครดิตสำหรับ WOOBAR อีก HKD750 พร้อมกับได้ Welcome Drinks อีก 2 แก้วเลือกได้จากเมนู (ที่เขียนเป็น Welcome Delight ในลิสของ SPG Platinum) ก็เลยมีพอกินได้สบายๆ อีกสองมื้อทั้งมื้อเย็นและมื้อกลางวัน สุดท้ายใช้ไม่หมดอีกต่างหาก เพราะว่าพอใช้ร่วมกับ SPG Platinum ลด 20% ก็ยิ่งถูกไปอีก (ตามมาตรฐานหลังๆ SPG พยายามปรับให้ทุกโรงแรมเหมือนกันหมดแล้ว จะเป็น SPG ลด 10%, Gold ลด 15% และ Platinum ลด 20%)

มื้อเย็นสั่งเป็นปลา Fish & Chips พร้อมสลัดและม็อกเทล 2 แก้ว ส่วนมื้อกลางวันมีเป็นเมนคอร์สสั่งเป็นสเต็กเนื้อที่มาพร้อมกับบุฟเฟต์สลัดบาร์และของหวาน พร้อมกับม็อกเทลอีกแก้ว ทั้งหมดทั้งมวลสองมื้อนี้รวมแล้วประมาณไม่ถึง HKD600

สรุป

ถือเป็นประสบการณ์ที่ดี และยิ่งคุ้มถ้ามาพักแบบคืนเดียวแล้วใช้สิทธิ์ Starwood Luxury Privileges ที่ได้เครดิตอาหารด้วย คือนอกจากการตกแต่งอะไรจะดูชิคๆ (ซึ่งอันนี้อาจจะแล้วแต่คนชอบ) ก็รู้สึกได้ว่าการบริการดูพิถีพิถันกว่าหลายๆ ที่จริงๆ

และเอาเข้าจริงๆ ราคาอาหารข้างในก็ไม่ได้แพงขนาดนั้นถ้าเทียบกับอาหารในจุดท่องเที่ยวอื่นๆ ของฮ่องกง และยิ่งถ้าเทียบกับคุณภาพของอาหารกับการบริการที่ได้รับก็ยิ่งโอเคไปใหญ่

ทั้งนี้แต่ถ้ามาพักมากกว่า 1 คืนอาจจะรู้สึกไม่ค่อยคุ้มกับเรทที่จ่าย เพราะงั้นแนะนำว่าเก็บไว้เป็นวันสุดท้ายไว้พักผ่อนนอนใช้ชีวิตในโรงแรมทั้งวันอะไรแบบนี้น่าจะคุ้มกว่า

One thought on “Review: W Hong Kong, Marvelous Suite

Leave a comment